วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Taxi To The Dark Side


Taxi To The Dark Side
Director : Alex Gibney

2008 Acdemy Award Winner / Best Documentary Feature

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Feb 7 2009, 06:44 PM

ตัวผมไม่เคยเห็นตอนสอบสวนในที่ลับตา (ซ้อมก้อไม่น่าผิด) แต่เห็นสภาพก่อนและหลังการสอบสวนของผู้ต้องสงสัย (กรณีที่เจอคือ มีผงขาวในครอบครอง) แต่ได้ยินแค่เสียงตอนระหว่างสอบสวน ตอนนั้นยังเด็ก ซักประถมได้ พึ่งรู้นี่แหละว่าสอบในที่ลับตานี่ ถามกันหนักขนาด ป้อมยามที่เป็นไม้แทบพัง หนักกว่าที่เห็นกันจะๆตามากมาย เพราะแค่เสียงนี่ก้อ 5.1 แล้ว เสียงเนื้อกระทบอะไรบ้างอย่างที่หนักๆทึบๆ เสียงคนที่โดนสอบ ที่แทบไม่มีเสียง คือจริงๆมันเบามากๆ กับสภาพหลังสอบของผู้ต้องสงสัย นี่เห็นสภาพเลยว่าสุดๆขนาดไหน (ปล.คือจริงๆหมอนี่ผมเห็นตั้งแต่มันพกยาเอามาขายเด็กๆแล้วเจอตำรวจนอกเครื่องแบบพอดี เค้าก้อเลยนำหมอนี่ไปสอบที่ป้อมยามใกล้ๆกัน)

มาถึงสารคดีชุดนี้ ผมซื้อเพราะเห็น กระทู้หนึ่งเรื่อง รางวัลออสการ์ เลยลองหามาดูไม่ผิดหวังสมรางวัลมาก สารคดีชุดนี้กล่าวถึง การกักกันตัวและสอบสวนนักโทษในข้อหาก่อการร้าย ตามสถานที่คุมขัง
Bagram Air Force Base[Afghanistan] / Abu Ghraib[Iraq] / Guantanamo Bay[Cuba]
ตัวเอกซึ่งเป็นที่มาของเรื่องและเป็นที่มาของการสอบสวนเปิดโปงกันครั้งใหญ่คือ Dilwar 'taxi driver' อายุ 22 ปี จากเมือง Yakubi, Afghanistan ตอนต้นๆจะมีการคุยกับที่บ้านของหนุ่มคนนี้ ซึ่งชอบขับแท็คเตอร์ ที่บ้านเลยให้ไปขับแท๊กซี่แทน เหอๆ ดูน่ารักดีครับ วันเกิดเหตุพ่อหนุ่มของเราขับแท๊กซี่ รับผู้โดยสาร 3คน (ภายหลังทั้งสามคนถูกส่งไป Guantanamo Bay เพื่อพิสูจน์ว่ากองทัพไม่ได้จับแพะ ในกรณีการตายของ Dilwar ทั้งๆที่ภายหลังการสอบสวนจะยืนยันว่าพวกเค้าบริสุทธิ์) และไปโดนจับ ถูกข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถูกส่งไป Bagram หลังจากนั้น 5 วัน Dilwar ก็ตาย ในสภาพรอยช้ำทั้งตัว ชัดๆก้อที่ขา ในใบมรณบัตรทางการแจ้งว่า ฆาตกรรม ครับมิผิด เค้ายอมรับ แต่เฉพาะในใบนะครับ แต่เรื่องมันแปลกเพราะก่อนหน้านี้ไม่ถึง อาทิตย์มี นักโทษอีกคนตายเช่นกัน และแน่นอนในสภาพเดียวกัน ทางบ้านพ่อหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ลูกชายหรือน้องชายหรือสามีหรือพ่อ ตายด้วยเหตุใด เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ช่ายครับใบมรณบัตรเป็นอังกฤษ แต่ส่งให้คน อาฟกัน บ้านนอกอ่าน แต่อีกอันที่แปลกคือ ทางการพิมพ์ใน หนังสือแจ้งข่าวรายวัน ว่าตายตามธรรมชาติ (เหมือนบ้านเรานิดหน่อย)

เรื่องมาแดงเอาเมื่อ Capt. Wood (หญิงด้วยนะครับ ย้ำ) หน.สอบสวนที่ Bagram ถูกย้ายไป Abu Ghraib พร้อมทีมงานแล้วดันมีภาพการทรมานหลุดออกมา รูปที่เห็นคือ นักโทษถูกจับแก้ผ้าสวมถุงดำคลุมหัว ล่ามด้วยโซ่ที่คอเหมือนหมา โดยมีภาพ Capt. Wood ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ Colin Powell ส่งคุณ Lawrence Wilkerson ไปสอบสวนดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งแกให้สัมภาษณ์ กับคนทำสารคดีว่า มีคนตายใน Abu Ghraib 98คน ภายหลังการสัมภาษณ์ นี้เพิ่มเป็น 105คน 25คนแจ้งว่าเป็นฆาตกรรม ภายหลังการสัมภาษณ์ นี้เพิ่มเป็น 37คน

หลังจากนั้น นักข่าว Carlotta Gall / Tim Golden [New York Time Reporter] เริ่มทำการสอบสวนในกรณี Bagram และแน่นอน กรณีหนุ่มDilwar ด้วย หลังข่าวแพร่ออกไป ทั้งใน นสพ. และนิตรสาร time กองทัพจึงเริ่มสอบสวน และแจ้งข้อหา ทหารที่มีส่วนในกรณี สอบสวน Dilwar(แต่ผมแปลกใจที่ ยาย Capt. Wood รอดแล้วไปเป็นครูสอนวิชาสอบสวนต่อ)....หลังจากนั้น สารคดีนำสืบต่อไปว่า ขั้นตอนการทรมานนี้มาได้ยังไง ในตอนสุดท้ายถึงเฉลยว่า เป็นคู่มือการสอบสวนของซีไอเอ ครับมิผิด เป็นคู่มือที่ประกอบด้วยขั้นตอน และการยกตัวอย่าง ที่ถูกเสนอและแนะนำโดย John Yoo, Alberto Gonzales เซ็นต์อนุมัติโดย Donald Rumsfeld

ขั้นตอนจะเริ่มตั้งแต่รับนักโทษมาแล้วต้องทำยังไง เช่นในกรณีที่ Bagram ซึ่งนำมาใช้หลังกรณี Guantanamo Bay คือ ใส่ผ้าคลุมหัว, เปิดเพลงเสียงให้ดัง, บังคับให้นักโทษยืนและล่ามโซ่, บังคับไม่ให้นักโทษนอน (นอนแค่วันละ4ชม. เริ่มตั้งแต่วันแรกเลย), จับนักโทษแก้ผ้า, บังคับให้นักโทษช่วยตัวเองให้ดูต่อหน้าผู้คุมหญิง (กรณีนี้คือทำให้อับอาย เพราะมุสลิมจะเคร่งมาก), ให้หมาเห่าใส่ต่อหน้า(เพื่อให้กลัว), ช็อคไฟที่ลูกอัณฑะและตามตัว(เหมือนใน 24)(ที่แปลกอีกอันคือเมื่อมีการคุยกับ John Yoo ว่าการบีบไข่นี่ไม่เรียกว่าทรมานหรือและประธานาธิบดีสามารถสั่งได้หรือ John Yooตอบว่า ไม่เรียกทรมานและสั่งได้), จับขังเดี่ยวในลังไม้, เตะขาหรือตีที่ไต และอีกมากมาย ผมว่า ทำขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จำนวนผู้ก่อการร้ายจะเพิ่มขึ้น แค่เอารูปพวกนี้ให้คนใหม่ๆดูว่า เห้ยเอาระเบิดไปบอมบ์ พวกลุงแซมเลย เพราะมันทำยังงี้
กับพี่น้องเรา หรือ คนไม่ได้เป็นเข้าไปแล้วคงเป็นผู้ก่อการร้ายแน่นอน ..... อีกอย่างรู้ไหมครับเทคนิคสอบสวนเหล่านี้ทำวิจัยกันมาก่อนในมหาลัยดัง ในแคนนาดาด้วย

เคยมีรุ่นน้องคนหนึ่งถามผมว่า ทำไมเราต้องรู้ประวัติศาสตร์ ก้อในเมื่อมันผ่านมานานแล้วอ่ะ ประมาณว่ารู้ไปก้อทำไรไม่ได้ ประโยคนี้คงใช้กับเหล่าผู้สอบสวนในกรณีนี้ไม่ได้ สารคดีเปิดเผยว่ามีการใช้เทคนิคในสมัยกลางอันหนึ่งในการรีดคำตอบจาก เชลยที่จับมาได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้ Colin Powell ไปเสนอบุกยึดอิรัก เทคนิคนั้นคือ ตรึงแขนตรึงขา แล้วกรอกน้ำลงปากนักโทษไปเรื่อยๆจนใกล้ตายเพราะขาดอากาศ แล้วถามคำถาม ถามจริงๆใครมันจะไม่ตอบตามที่คนถามอยากรู้

อันนี้เป็นโชน 1 มีชับไตเติลเรียบร้อย น่าดูมากๆ เห็นภาพและเข้าใจ ว่าทำไมคนถึงสนับสนุนเรื่องพวกนี้ไปไกลขนาดนี้ เพียงเพราะ 11กันยา หรือทำไมคนอีกพวกถึงต่อต้านการกระทำอย่างนี้อย่างมากมาย
และเห็นภาพของเหยื่ออีกด้านที่อเมริกันชนบางคนไม่เห็นและเห็นทัศนะนักการเมืองและ.....อะไรบางอย่างในใจเรายามดูเสร็จ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น