วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Winged Migration


Winged Migration
Academy award nominee best documentary feature 2002

Directors - Jacques Perrin, Jacques Cluzaud
Narration - Phillippe Labro

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Jun 7 2009, 06:39 PM

สารคดีเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นของนก ที่ใช้เวลาถ่ายทำ 4 ปี ใน 40 ประเทศ 7 ทวีป มีทีมงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 400 คน, นักบิน 17 คน และช่างภาพอีก 14 คน ใช้ทั้งเครื่องบิน, เฮลิคอปเตอร์, บอลลูน, พาราชู๊ต และเรือ เพื่อเก็บภาพที่จัดได้ว่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดและใกล้ชิดที่สุด สารคดีหนึ่งที่เคยสร้างกันมา ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยดู planet earth หรือ baraka จะเห็นได้ว่า พวกนี้ก็สุดยอด ยิ่ง baraka ที่ถ่ายแบบ 70 มม. แล้วพึ่งจะเอากลับมารีทัชใหม่แบบ 24 k แบบเฟรมต่อเฟรม ลง blu ray ยิ่งทำให้คุณภาพของภาพมีความโดดเด่นขึ้นไปอีก แต่สารคดีนี้ ก็เด่นที่มุมกล้องและการนำเสนอ ไม่แพ้สารคดีใดๆเลยเหมือนกัน

มุมกล้องส่วนใหญ่เป็นแบบซูมใกล้ และแบบ bird eye view จริงๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายจากด้านบนเท่านั้น แต่หมายถึงถ่ายในระดับเดียวกับนกเลย ถ้าดูจากเบื้องหลังการถ่ายทำจะเห็นว่าทีมงานตั้งใจกันมากๆ เริ่มตั้งแต่ที่ศูนย์เลี้ยงนกในแคนนาดา แล้วค่อยๆ สอนให้นกรู้จักผู้ฝึกและไว้ใจ ให้คุ้นเคยกับเสียงเครื่องยนต์และเสียงแตรสัญญาณ เพื่อให้นกชิน กันตั้งแต่เล็กๆ ทีมงานทุ่มเทขนาดว่า วิ่งด้วยกัน ว่ายน้ำด้วยกัน กับนกที่ฝึก ซึ่งจริงๆก็ควรต้องทำเพราะหากอยากได้มุมกล้องอย่างในสารคดีนี้ อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความไว้ใจและคุ้นเคยกันระหว่างคนกับนก

โดยนกที่ถ่ายทำนั้นครอบคลุมประเภทของนกอพยพและไม่อพยพ (ประเภทนกประจำถิ่นไม่ย้าย)ได้ค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ เป็ด, ห่าน, นกน้ำ, นกนางนวล, อัลบาทอล, การ์เน็ต, นกปากห่าง, กระเรียน, กระสา หรือแม้กระทั่ง นกแก้ว นกเพนกวิน และอื่นๆ แล้วแต่ละประเภทย้ายถิ่นกันทีเป็น พันๆไมล์ขึ้นไปทั้งนั้น (การอพยพ นกใช้ทั้งดาว, ดวงอาทิตย์, กระแสลม และ landmark เช่นปราสาท, โรงงานหรือทะเลสาบ ที่เหมือนบอกต่อๆโดยนกรุ่นพี่) บางประเภทเวลาอพยพแล้วน่าสงสารมากอย่างกับหนังชีวิตเลย ผ่านทั้งน้ำเน่า, อากาศเป็นพิษ (ต้องดูช๊อตที่ผ่านยุโรปตะวันออก นั่นดงโรงงานถ่านหินเลย) ทั้งคนจ้องดักยิง, ดักจับไปขาย ทั้งศัตรูตามธรรมชาติและไม่ธรรมชาติ

เปิดฉากมาใครจะคิดว่าหนังสารคดีอย่างนี้จะมี พระเอก หรือผู้ช่วยพระเอก แต่เรื่องนี้มี แล้วมันช่างทั้งน่าขันทั้งน่าเศร้า คือ พระเอกเป็น นกเป็ดน้ำ ผู้ช่วยพระเอกคือเด็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ว พระเอกของเรา ต้องพึ่งพาผู้ช่วยมากทีเดียว เหมือนจะบอกว่า มีแต่คนเท่านั้นที่อำนาจทั้งทำลายล้างและทั้งช่วยบำบัดทุกข์ ให้สัตว์อื่นๆ ต้องลองดูตอนที่เป็นนกแก้วในอเมซอน แล้วจะเห็นภาพมาก ภาพสีสรรของนกที่สวยงามตัดกับสถาพป่า ที่ในที่สุดสีสรรนั้นกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง แต่วิธีแก้ของนกน่ารักมาก แอบลุ้นไปโดยไม่รู้ตัว

ความหลากหลายของนกทำให้เกิดความหลากหลายในด้านพื้นที่ที่ถ่ายทำไปด้วยในตัว หลายๆพื้นที่ ทีมงานใช้วิธีถ่ายทำที่ทำให้ได้มุมกล้องที่เด่นมากๆ ตอนดูเบื้องหลัง มีฉากหนึ่งถ่ายแบบ กล้องจะทิ้งดิ่งตกลงมาตามหน้าผาเพื่อจับภาพนกทะเล (โดยมากนกทะเลชอบทำรังกันตามหน้าผาชัน ถ้าใครจำได้จากการดูพวกสารคดีสัตว์) คนบรรยายพูดถูกอย่างหนึ่งคือ นกนั้นไม่กลัวแรงดึงดูด แน่นอนเพราะนกมีโครงสร้างที่เบา (มีฉากหนึ่งเป็นลูกนกหัดบิน เพ่แกเล่นกระโดดลงจากหน้าผาลงทะเลเลย กล้ามากก เหอๆ) ฉะนั้นผู้ถ่ายทำจึงพยายามทำให้ได้เหมือน เหอๆ ดูโหดน่าดู แค่เฉพาะการติดตั้งกล้องเท่านั้นก็เสียวได้แล้วล่ะ

จากมุมกล้องให้ความรู้สึกดูแล้วเหมือนบินไปกับนกจริงๆ แม้จะเปลี่ยนประเภทของนกไปอย่างไร มุมกล้องและความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้หายไปด้วย ได้ความรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนดังที่คนในอดีตใฝ่ฝัน อีกอย่างหนึ่งพึ่งได้มีโอกาส ดูสารคดีที่เป็นแต่เรื่องนกจริงๆครั้งแรก ตอนแรกคิดว่าจะน่าเบื่อรึเปล่า แต่ปรากฏว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งเทคนิคการถ่ายทำ หรือการเลือกประเภทของนก ก็ทำให้น่าดูมากขึ้น จริงอยู่ว่าบางประเภทเราอาจเคยผ่านตามาบ้าง เช่น วิธีวางไข่หรือเลี้ยงลูกของเพนกวินจักรพรรดิ์ แต่อันนี้ ให้มุมมองอีกอันค่อนข้างโหดดี เหมาะกับโลกอันโหดร้าย และอีกอย่าง จะให้ถ่ายแบบใหม่หมดจริงๆคงยาก สารคดีนั้นทั้งสร้างและมีออกมาแล้วมากมายแล้วจะให้ใหม่เอี่ยมคงยากจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม สารคดีเรื่องนี้ยังมีดีพอให้น่าจดจำ ในภาวะที่โลกเราเรียกร้องให้คนหันกลับมาใส่ใจสภาพแวดล้อมมากขึ้น ให้ใส่ใจเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น (มีทั้ง dvd และblu ray)

The Girl Who Leapt Through Time


The Girl Who Leapt Through Time
กระโดดจั้มพ์ทะลุข้ามเวลา
Drama / Romance / Science fiction

Director - Mamoru Hosoda
Writer - Yasutaka Tsutsui (original novel)
Satoko Okudera (screenplay)
Studio - Madhouse

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 14 2009, 09:39 PM

หนังย้อนเวลาแนวหวานนั้นมีหลายเรื่อง อาทิเช่น secret ที่เดินทางผ่านเปียโนโบราณ กับโน้ตเพลง หรือ เก่าหน่อย somewhere in time อันนั้นใช้นอนในสถานที่โบราณ แต่งกายก็โบราณแล้วตั้งใจสะกดจิตตัวเองให้ย้อนเวลากลับไปอดีต หรือจะ back to the future อันนั้นใช้เครื่อง แต่ไม่ค่อยหวานมาก หรือ il mare จะเข้าแนวด้วยหรือเปล่า ก็ยังลังเล แต่คิดว่าไม่เข้าเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวไม่ได้เดินทางไปด้วยมีเพียงติดต่อผ่านตัวเชื่อม / เพียงแต่เรื่องนี้ใช้การกระโดดของนางเอกเป็นวิธีย้อนเวลา ง่ายๆสั้นๆ ไปได้ทุกเมื่อ เพียงกระโดด ไปไกลมากก็กระโดดสูงมาก

การ์ตูน รายละเอียดภาพสูงและสวย หากจะบอกว่าชอบในครั้งแรกที่ดูหน้าปก ก็ไม่ผิด เนื่องว่าภาพมีรายละเอียดมากจริงอย่างที่บอก และเมื่อดูก็ไม่ผิดหวัง ภาพเคลื่อนไหวยังคงสวยเหมือนเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องของ 1 สาว (Makoto Konno) 2 หนุ่ม เพื่อนสนิท (Chiaki Mamiya, Kosuke Tsuda) ซึ่งทุกคนเป็นวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมของญี่ปุ่นทั่วๆไป โรงเรียนหนึ่ง ชีวิตดำเนินไป ดั่งเส้นตรงเป็นปกติ จนวันหนึ่งนางเอกไปพบกับเหตุการณ์ประหลาด ที่ทำให้เธอมีพลังในการย้อนเวลา ซึ่งเป็นการย้อนเวลาแบบไม่ธรรมดา ให้เรานึกภาพว่า เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปบนห้วงของเวลา ตัวเราเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งๆ หากเราเดินหน้าหรือย้อนหลัง เราควรจะต้องเจอกับตัวเราเอง แต่เรื่องนี้ไม่เจอ อาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงกฏทางฟิสิกส์ เรื่องอนุภาคปฏิปักษ์ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ(ทุกอนุภาคในเอกภพต้องผลิต อนุภาคและอนุภาคปฏิปักษ์ออกมาเพื่อหักล้างกัน เช่น ถ้าเราไปเจอคนที่เหมือนเราทุกอย่างแล้วเราไปแตะตัวเขา เราจะหายไปทันที เพราะเขาคืออนุภาคปฏิปักษ์ของเรา) แต่ไม่ใช่เอกภพคู่ขนานแน่ๆ นอกจากไม่เจอแล้ว เหมือนกับว่า ตัวเธอเข้าไปแทน ตัวเธอในห้วงเวลานั้นแบบสมบูรณ์ เรื่องจึงดำเนินต่อเนื่องไม่สะดุด เหมือนฉายหนัง แล้วย้อนกลับตัดต่อแล้วฉายต่อได้เลยประมาณนั้น

เมื่อข้อจำกัดบางอย่างหมดไป หนังจึงดำเนินได้แบบสุดๆมากขึ้น เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าทุกอย่างมันเดินหน้าถอยหลังง่ายๆ เราจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของเวลาหรือเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างไร จริงอยู่บางเรื่องบางเหตุการณ์ ถ้าดูบ่อยๆ ก็จะได้แง่มุมหลายแง่ขึ้น ได้เห็น ได้มีเวลาคิดมากขึ้น ไม่ด่วนได้เกินไป แต่บางอย่างก็ทำให้ลดคุณค่าได้เหมือนกัน ทำให้มันธรรมดาเกินไป เหมือนหลายเหตุการณ์ที่ มันจะประทับใจ หรือโหดร้ายที่สุด เมื่อครั้งแรกที่เราเจอ เช่นคงไม่มีใครอยากรักษารากฟันซ้ำไปซ้ำมาเป็น 10 รอบ เพื่อแค่ดูแง่มุมความเจ็บปวดกระมัง หรืออาจจะมี เหอๆ แต่ถ้าเป็นบางเรื่องล่ะ..........

ใจหนึ่งผมชอบ นางเอกเรื่องนี้เล็กๆในแง่ ดูท่าแกจะยังไม่เข้าช่วงวัยที่นับถือ ลัทธิใต้วงแขนขาว ผิวเรียบเนียน แม้วิ่งแทบเป็นบ้าเหงื่อยังไม่ออกสักหยอดให้ลำคาญใจขณะคุยกับหนุ่มรูปหล่อ หรือ หมกมุ่นกับการตกแต่งร่างกาย ที่มีเส้นแบ่งบางๆที่เรียกว่าความพอดี คั่นระหว่างความมั่นใจกับความอุบาทว์ แม้เด็กคนนี้จะออกห้าวนิดๆแต่ก็ยังมีความเป็นเพศหญิงสูง (ทั้งในแง่ห่วงหาอาทรหรือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแบบมากมาย) แม้ว่าเพื่อนชายที่แวดล้อมถือว่าเป็นระดับดาวโรงเรียน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยรู้ใจตัวเองหรือสนใจซักเท่าไหร่ แต่เธอเริ่มรับรู้เมื่อเธอเริ่มกระโดด เมื่อยิ่งกระโดดบ่อยขึ้นยิ่งรับรู้แง่มุมมากขึ้น ทำให้เธอได้แง่มุมของคนรอบข้างมากขึ้น เหมือนว่ายิ่งกระโดดแต่ตัวยิ่งติดดินขึ้น ยิ่งย้อนอดีตตัวยิ่งอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

ถ้าใครชอบสไตล์หวานๆ ภาพสวยๆ เนื้อเรื่องไม่ลึกแต่ก็ไม่ตื้นมากอันนี้น่าจะเหมาะมาก ดูเพลินๆดีในระดับว่า เผลอๆมีน้ำตาไหลได้ในท้ายเรื่องตามประสาหนังรัก แต่ถ้าเส้นลึกก็อาจจะไม่เหอๆ อันนี้โซน 3 พากย์ไทยเรียบร้อย

RocknRolla


RocknRolla
Action / Comedy / Crime

Director - Guy Ritchie
Gerard Butler - One Two
Tom Wilkinson - Lenny Cole
Thandie Newton - Stella
Mark Strong - Archy

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 3 2009, 10:41 PM

ถ้าไม่นับเรื่องที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่ติด จริงๆเรื่องที่ร่วมงานกับอดีตภรรยาก็ไม่ถึงกับแย่มากทีเดียว เพียงแต่ดูๆไป เจ้มาดอนน่าอาจเล่นดีเกินไปกระมัง เหมือนละครบ้านเราไปนิด ดูแล้วคิดเป็น อั้ม ทำหน้าตาแสยะปากดูถูกคนยังไงยังงั้น / Guy Ritchie มีสไตล์เฉพาะตัวมากๆ จนบางคนบ่นว่าหลายเรื่องคล้ายกันเกินไป แต่มันเป็นสไตล์อ่ะนะ ใจผมคิดเองว่า มันก็เหมือนเราคงบังคับให้ ไอแซนแมน มาทำงานแบบบ้านจัดสรรเมืองไทยไม่ได้ เพราะมันเป็นสไตล์ ไม่ใช่ว่าอันไหนดีหรือไม่ดี ครั้งแรกที่ดู ใจลึกๆยังหวังว่าแก จะกลับมาแจ้งเกิดสดใส เหมือนดั่ง janson button ทำได้ในวงการ f1 (ถ้างวดนี้ไม่เกิด หรือว่าต้องขายบริษัททิ้ง เหมือนฮอนด้าขายทีม f1รึเปล่า ขายเสร็จรุ่งโลด)

เรื่องนี้จะเรียกได้ว่าดูปั๊บ รู้เลยว่าเป็นหนัง Ritchie แถมมีการล้อเลียน (คิดว่านะ) เจ้าของทีมฟุตบอล ให้แฟนๆเสี่ยหมี ได้ขำๆ (นามสกุลนี่ใกล้มากจน อดคิดไม่ได้ว่าตั้งใจแน่นอน) เรื่องนี้เป็นการล้อเลียนถึงอิทธิพลของคนต่างชาติที่เข้ามาหากินในอังกฤษ ช่วงก่อนหน้ารัฐบาลของ กอร์ดอน บราวน์ อังกฤษถือเป็นสวรรค์ของเศรษฐีต่างชาติ อันเนื่องมาจากนโยบายเอื้อประโยชน์ทางภาษี เห็นได้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษโตแบบก้าวกระโดดทีเดียว ทั้งตลาดหุ้นตลาดทุน บริษัทห้างร้านแจกโบนัส กันระเบิดเทิดเทิง (เพราะงั้นพอร่วงจึงลงอย่างรุนแรงด้วย) หรือดูได้จาก วงการฟุตบอล ที่เศรษฐีต่างชาติเดินขบวนเข้ามาจับจองสโมสรฟุตบอลกันเต็มไปหมด (เคยเห็นในรายงานพิเศษของ cnn ช่วงหนึ่ง ถึงกับเคลมว่าลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มีคนระดับ อภิมหาเศรษฐีเดินกันมากที่สุดในโลก ถ้าเทียบกันต่อตารางเมตร)

อีกประเด็นที่ ผู้กำกับนำมาเล่นคือ เรื่องต่อเนื่อง และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ซึ่งมันเติบโตไปพร้อมกับเมืองและเศรษฐกิจแบบฝาแฝดอ แน่นอนว่าที่ใดมีธุรกิจที่นั่นก็มีนักบัญชีผู้แสนฉลาดและขี้โกงเป็นของคู่กันเพื่อมาอำนวยความสะดวก ซึ่งอันว่าความสะดวกก็ต้องมีผู้ดำเนินงาน ซึ่งก็ได้แก่ มาเฟียเจ้าถิ่นและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่พึ่งพากัน มาเป็นของคู่กัน เพราะที่ใดมีธุรกิจที่นั่น เวลาและความสะดวกเป็นสิ่งสำคัญสุด และที่ใดมีมาเฟียที่นั่นก็มี ลูกน้องทั้งปลายแถวและไม่ปลายแถว ทั้งทำแบบมีสังกัดและแบบอิสระ เป็นของคู่กันด้วย และโดยปกติพวกไร้สังกัดนี่แหละตัวป่วน อ้อ....เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนด้วย

หนังเล่นในสไตล์ ผลของการกระทำอันต่อเนื่องที่กระทบกันไปเป็นทอดๆ และชิ่งกันไปมาเหมือนแทงสนุ๊กเกอร์ แคนน่อนไปแคนน่อนมา นั่นหมายถึงไม่ว่าใครก็ตามที่หลุดมาลงโต๊ะ นุ๊ก ตัวนี้ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ ไม่ว่าจะอยากรึไม่ก็ตาม ก็ต้องกระทบกับคนอื่นอยู่ดี / ถ้าเคยผ่านงานสไตล์ Ritchie จะรู้เลยว่า แกชอบเล่นนักพวกประเด็น ผลกระทบเป็นลูกโซ่ และ คนดี(หรือแย่ก็ได้ ส่วนใหญ่จะแย่นะ เหอๆ) มักจะได้ทางแก้ปัญหาที่มาแบบไม่คาดฝัน จากการกระทำของคนอื่น เหมือนๆคนดี(แย่) ผีคุ้มประมาณนั้น จนบางครั้งไม่แน่ใจว่า ผลความชั่วความดี คืออะไร คือเส้นแบ่งมันบางเหลือเกิน

ความชั่ว, ความดี, ชาติ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถวัดได้ ไม่มีมาตรส่วน, ไม่มีตาชั่ง, ไม่ขอบเขตที่แน่นอนตายตัว เราจึงพยายามสร้างปริมณฑลให้สิ่งเหล่านี้ ให้สามารถวัดได้, แทนค่าได้, ตอบแทนได้, ชดใช้ได้ อย่างความดี ความชั่ว แต่คนส่วนใหญ่ แทนค่าด้วยสิ่งที่สามัญกว่า นั่นคือสิ่งของ หรืออะไรก็ได้ที่จับต้องได้ นัยว่าเพื่อทดแทนภาวะเบาปัญญาของเราเอง หรือ เพื่อหลอกตัวเองว่ามันจบแล้ว, มันได้ตอบแทน แต่จริงๆแล้วมันจบหรือไม่หรือมันแค่เป็นการเริ่มต้น คือบางครั้ง ถ้ามองขำๆก็อาจจะรับทราบได้ดีกว่ากระมัง แต่เรื่องนี้ออก ขำแรงทางตรงชนสนั่น

มุมกล้องและการดำเนินสไตล์นี้เริ่มห่างๆไปหลายปีพอกลับมาดูอีกที ก็เลยได้อารมณ์แบบหนังดิบๆ วัยรุ่นๆแต่ผมยอมรับนะว่าถ้าดูบ่อยๆล่ะเบื่อแน่นอน ไม่ใช่ว่าเราจับไต๋อะไรได้หรอก เพราะเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพียงแต่แกน มันเหมือนกันไปหน่อย เลยอาจจะทำให้เบื่อได้ / พูดถึงนักแสดง ก็ใช้ได้นะตามมาตรฐานเหมือนเช่นเคย ผมก็ไม่รู้ว่า มันอาจเป็นเพราะด้วยหนังภาษาอังกฤษเป็นตลาดที่กว้าง บุคคลากรมีให้เลือกมากมายรึเปล่า จึงทำให้ดาราส่วนใหญ่เลยเล่นกันได้ตามมาตรฐาน ดูธรรมชาติ แม้ว่าจะเป็นแค่ดาราตัวประกอบ คือไม่ถึงกับบอกได้เต็มปากว่าแย่มาก (แต่จริงๆดาราบางคนก็เล่นแย่เหมือนกันในบางเรื่อง) / อันนี้เป็นโซน 3 ดูแบบขำๆมันส์ๆ ได้แน่นอน

Changeling


Changeling
Drama / History / Mystery

Director - Clint Eastwood
Angelina Jolie - Christine Collins
John Malkovich - Rev. Gustav A. Briegleb
Colm Feore - Chief James E. Davis
Devon Conti - Arthur Hutchins

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 28 2009, 10:44 PM

"จากเรื่องจริง" พอหนังขึ้นคำนี้ปุ๊บ เส้นแบ่งบางๆขณะดูก็เหมือนจะหายไป ในหนังมีเสียงนกร้อง บ้านเรานกก็ดันร้องเหมือนกัน โจลี่ตื่นมาในห้องมีแดดส่อง เอ๊ะบ้านเราแดดก็ ดันส่องทำมุมเหมือนกัน เพียงแต่แฟนเราหน้าไม่ใช่โจลี่ แล้วเราก็ไม่ใช่ บัก พิตต์ แล้วเรื่องนี้ยังจะเป็นจริงพอไหมสำหรับเรา

หนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุค ชื่อเรื่องแปลว่า "เด็กที่ถูกแอบสับเปลี่ยน" ผลงานระดับอาจารย์ของ ปู่ Clint Eastwood อีกเรื่อง / ตัวเองเป็นแฟนหนัง ป๋า เค้ามาตลอด ตอนแรกดู เพราะชอบเพลงประกอบหนัง แต่เก่าแล้วล่ะของ Ennio Morricone ในหนังลูกทุ่งอเมริกัน ที่คนอิตาลีกำกับ ตามมาเรื่อยๆจนเป็นจ่าแฮร์รี่, เป็นคนแหกคุก, เป็นนายอำเภอจับคนร้ายแหกคุก, เป็นช่างภาพวัยดึกที่สร้างตำนานรักสะท้านบ้านทุ่ง และอีกหลายอย่าง คือจริงๆแกกำกับเก่งนะ หนังแกไม่เน้นโปรดักชั่นมาก พึ่งมาเน้นในหนังสงครามนี่เองหนังแกเน้นความเรียบง่ายและนักแสดงเป็นหลัก อารมณ์บรรเจิดมาก เรื่องนี้ก็คงสไตล์แกไว้เหมือนเดิม

หนังเรื่องนี้เกิดในยุค ทศวรรษ 1920 เป็นเรื่องของคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวลูกหนึ่ง Christine Collins มีอาชีพเป็นโอเปอร์เรเตอร์ อยู่มาวันหนึ่งเธอไปทำงาน หลังจากกลับมาบ้าน พบว่าลูกชายหายตัวไป เธอพยายามตามหาสุดชีวิต ในขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่ง Rev. Gustav A. Briegleb ออกวิทยุโจมตีการ คอร์รัปชั่นในวงการตำรวจของ l.a. อย่างครึกโครม Chief James E. Davis รู้ว่ากรมตำรวจ และ ผู้ว่าการไม่สามารถทนรับแรงเสียดทาน ขนาดนี้ไปได้อีกมากน้อย ฉะนั้นข่าวดีๆจากกรมตำรวจ จักต้องบังเกิดในฉับพลันและจักต้องมีแต่ข่าวดีๆ / ในขณะเดียวกัน คุณแม่ที่กำลังร้อนใจ กลับได้พบกับข่าวดี เมื่อตำรวจมาบอกเธอว่าพบตัวลูกชายของเธอแล้ว และที่สำคัญยังมีชีวิตเสียด้วย แน่นอนเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่โต มีการพานักข่าวไปทำข่าวในวันที่แม่-ลูกจะได้พบหน้ากัน แต่เมื่อแม่พบหน้าลูก เธอบอกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่ลูกเธอ ตำรวจบอกเธอว่า เป็นได้ที่เธอไม่ได้เจอหน้าลูกเป็นเวลานานประกอบกับ ภาวะทางจิตทำให้อาจจำสับสน เธอยอมรับไปก่อนเพราะตำรวจมีท่าทีไม่ยอมรับความคิดนี้ จริงๆเธอกลัวว่าตำรวจจะเลิกหาลูกของ เธอเพราะไปกวนเรื่องนี้เข้า ต่อมาเธอกลับไปบอกตำรวจว่า นี่ไม่ใช่ลูกเธอ พอตำรวจถามว่ารู้ได้ไง

เธอตอบแบบคนเป็นแม่ทั่วๆไปตอบ 1.ลูกฉันสูงกว่านี้ 3 นิ้ว (แม่ที่อยู่ดูแลลูกวัดความสูงลูกตลอด) 2.ลูกฉันไม่ได้ขลิบ (แม่ที่อาบน้ำลูกอยู่ทุกวัน) เรื่องพวกนี้ถือเป็นสามัญธรรมดาสำหรับแม่ทุกคน หรือใครก็ได้ที่เราใกล้ชิดกันมากๆ อย่างแฟนคุณหรือใครก็แล้วแต่ ไฝ, ฝ้า, กระ ยอมจำได้ ฉะนั้นจึงไม่มีใครสลับเอาแม่ช้างน้อยไปจากฉันได้ประมาณนั้น / เรื่องนี้ผมยอมรับว่า คุณแม่ท่านนี้คือผู้หญิงที่แกร่งแต่ไม่หยาบ หลายคนนั้นหยาบแต่ไม่แกร่ง แต่ท่านนี้รับได้กับทุกสภาพ แบบสีทนได้ ดูไปแล้วท่านจะรู้ว่า โหยทำกันขนาดนี้เลยหรือและหลังจากนั้นคือเรื่องราวที่สะเทือนใจ เห็นชัดว่า ความยุติธรรมมาแล้วแต่มุมมองว่าใครเป็นคนมอง การสร้างหลักฐานเท็จของรัฐ ก่อให้เกิดเรื่องราวที่ส่งผลต่อเนื่องและ สุดท้าย พลังของผู้หญิงคนหนึ่ง

โจลี่ เล่นเรื่องนี้ได้สมบูรณ์มากๆ สะเทือนอารมณ์สุดๆ ส่วนตัวแล้วบางครั้งผมไม่ค่อยชอบเธอแสดงนะแต่เรื่องนี้โดดเด่นครับ เล่นได้สมราคาดาราแม่เหล็ก แต่เรื่องพวก เสื้อผ้าหน้าผม นี่ไม่มีความเห็น เพราะคุณเธอและทีมงานละเอียดมากอยู่แล้ว / ป๋าคลิน สุดยอดอีกครั้ง ลึกๆในใจผมอยากเห็นแกเล่นและกำกับอีก แต่ก็เข้าใจว่าสังขารมันไม่เที่ยง จริงๆแกกำกับดีนะครับ ดูจากเบื้องหลังหลายๆเรื่อง และแนวความคิดในการกำกับของแก ง่ายๆแต่ทำยาก อันนี้เป็น blu ray ครับ ขออภัยผมยังไม่มีไดรฟ์ เอาไว้ถอดภาพออกมา อีกอย่างรูปที่มีตามเนตก็ ไม่ใช่รูปที่ชอบนัก เลยขอสงวนสิทธิ์ไม่โพสรูปประกอบ / ยังไม่เห็น เป็นดีวีดี แต่น่าจะมีเร็วๆนี้แน่นอน

หลังจากดูเสร็จ จอดำไป ห้องกลับมามืดอีกครั้ง เผลอหน่อยเล่นเอาเย็นทีเดียว กดเอาแผ่นออก ปิดเครื่อง คำถามเดิม "จากเรื่องจริง" คนเขาว่าเรื่องจริงเป็นดั่งนิยายที่บางเรื่องก็ไม่อยากอ่านไม่อยากเจอ แต่ เรามักต้องเจอ หรือสวรรค์จะบันดาลให้เราได้แฟนหน้าดัง โจลี่ / หลังจากจบแล้วมันจะยังเป็นจริงพอไหมสำหรับเรา

Traitor


Traitor
Crime / Drama / Thriller

Director - Jeffrey Nachmanoff
Don Cheadle - Samir Horn
Guy Pearce - Roy Clayton
Said Taghmaoui - Omar

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 15 2009, 12:31 AM

ช่วงนี้มีโอกาสได้ดูหนังแอคชั่นหลายเรื่อง ทั้ง Taken ซึ่งสนุกแต่ตอนต้นช้าไปนิด แต่พอเริ่มสปีดแล้วแทบไม่ลดความเร็วลงเลย ประมาณว่าพอเลยช่วงการจราจรคับคั่งก็ใส่กันสุดๆ หรือ Bank Job ที่สนุกแบบอ้างอิงจากเรื่องจริง จังหวะก็จะค่อยเนิบๆ ไปเรื่อยๆ จนปมทุกอย่างเริ่มขมวดเข้ามา จุดสนุกสุดยอดจึงมาชนกันตอนท้ายเรื่องหลายประเด็น แต่เรื่องนี้สมดุลของเรื่องอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่สุด คือไม่ช้าหรือทิ้งประเด็นนานจนเริ่มหมดแรงขับดัน คือปล่อยมุขกันเรื่อยๆ ไม่มากหรือน้อยไป / เรื่องนี้เป็นเรื่องการก่อการร้าย(อีกแล้ว) ตอนแรกก็มานั่งนึกดู อึมยังมีอะไรให้สนุกอีกไหมอ่า แล้วอีกประการเรื่องนี้ออกมานานแล้วเหมือนกัน เดินชั่งใจอยู่นาน แต่ได้ดาราที่ชอบเลย อย่าง Don Cheadle มาแสดงก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่ง คือแกรับงานไหนมักจะไม่ค่อยแย่มาก เหอๆ แม้จะไม่ค่อยมีดาราดังๆมากๆมาร่วมงานก็ตาม แต่ ฝีมือแต่ละคนที่มาก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อันนี้มาว่ากันที่ความหมายสักนิด

Function: noun
Etymology: Middle English traytour, from Anglo-French traitre, from Latin traditor,
from tradere to hand over, deliver, betray, from trans-, tra- trans- + dare to give — more at date
Date: 13th century
1 : one who betrays another's trust or is false to an obligation or duty
2 : one who commits treason

ทรยศบางคนก็เรียกว่าจูดาส จากกรณี ว่ากันว่าหักหลักพระเยซู (to hand over, deliver ให้พวกโรมัน) แต่ระยะหลังมีการค้นพบ กอสเพลว่าด้วยเรื่องจูดาส และได้มุมมองที่แตกออกไป นักวิชาการทั้งศาสนาและประวัติศาสตร์จึงเริ่มหันมามอง ประเด็นจูดาสใหม่ ซึ่งรอนานเหมือนกันกว่า แค่คนจะเริ่มหันมาสนใจในประเด็นอื่นไม่ใช่ในแง่การทรยศ อันนี้แสดงอะไร มันแสดงว่าตำแหน่งงานนี้ไม่มีใครอยากได้ และไม่ใช่ตำแหน่งที่มากันสะอาดๆ การใส่ไคล้ และความวิตกกังวลคือต้นเหตุแห่งการ เสนอตำแหน่งงานนี้ให้แก่ใครก็ตาม

หนังเป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดันไปอยู่ในทุกๆที่ที่เกิดเหตุก่อการร้าย หนำซ้ำพอเจ้าหน้าที่ภาคสนามไปสอบสวน ยังเชื่อกันว่าเขาแปรพักต์แล้ว ยิ่งทำให้น้ำหนักที่ว่าหนุ่มคนนี้เกี่ยวข้องก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น ฉะนั้นในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐ หนุ่มคนนี้คือศัตรูของรัฐอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ / ในอีกด้านหนุ่มคนนี้ก็เข้าไปเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อการร้ายย่อย กลุ่มหนึ่งขององค์กรก่อการร้ายขนาดใหญ่ ด้วยการส่งอาวุธและทำระเบิดให้ แต่ก็ให้มีเหตุให้สงสัยกันในหมู่ผู้ก่อการร้ายว่า ไอ้หมอนี่มันจะเป็นหนอน รึปล่าว ฉะนั้นในมุมของผู้ก่อการร้าย หนุ่มคนนี้คือ ศัตรูขององค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ / ในอีกด้านแม่และครอบครัวของหนุ่มคนนี้เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ทุกคนล้วนเชื่อกันว่า เค้าไม่มีทางเป็นผู้ก่อการร้ายไปได้ เพราะมันขัดกับหลักศาสนา ฉะนั้นในมุมของมุสลิมที่ดี หนุ่มคนนี้คือศัตรูของศาสนา ผู้ทำให้ศาสนามัวหมองอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ

แน่นอนว่า ผู้ทรยศจะมาพร้อมบทลงโทษที่หนักเบาต่างกันไปตามสถานะการ และต้องมาพร้อมบทพิสูจน์ตัวเอง ดั่งนางสีดาที่ต้องเดินลุยไฟ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พระรามเห็นหนุ่มคนนี้ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน / มีประโยคหนึ่งที่ ตัวเอกคุยกันเรื่อง การเป็นผู้ทรยศ ว่าใครกันแน่ที่ทรยศและมองจากมุมใด นั่นอาจเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งเช่นกัน และโจทย์แห่งการพิสูจน์ตนมาจากทุกด้าน

ด้วยตัวหนังเอง พูดถึงโปรดักชั่น อาจไม่ได้หวือหวาเข้าขั้นเทพ เหมือนหลายๆเรื่อง แต่ พูดถึงการแสดงและการส่งของบท ของผู้แสดงแต่ละตัว ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว / Guy Pearce เรื่องนี้ถือว่าฟอร์มตกไปเล็กน้อย เทียบกับ Said Taghmaoui ที่ถือว่าเล่นดีกว่า ทั้งแววตาหรือท่าทาง ครบเครื่องมากกว่า และทำให้เชื่อได้มากกว่าว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายผู้เคร่งศาสนาแต่ในขณะเดียวกันก็ซื่อสัตย์ต่อองค์กรและเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง / Don Cheadle นั้นคงมาตรฐานได้ดีคงเส้นคงวา โดยครั้งแรก แกดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าดูไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า อึม ต้องแกนี่แหละ / เนื้อหาจัดในขั้นซับซ้อนและพลิกไปพลิกมาพอควร เสียดายที่จุดขมวดมาเร็วไปนิด แต่ไม่ได้ลดดีกรีลงมากนัก อันนี้เป็นโซน 3 ดูได้เพลินๆ และมันส์พอตัว

The Curious Case of Benjamin Button


The Curious Case of Benjamin Button
Drama / Fantasy / Mystery / Romance

Director - David Fincher
Brad Pitt - Benjamin Button
Cate Blanchett - Daisy
Taraji P. Henson - Queenie

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 23 2009, 06:58 PM

ดัดแปลงจากเรื่องสั้น นักเขียนชื่อดัง F.Scott Fitzgerald ที่พิมพ์มาตั้งแต่ปี 1922 ประวัติโปรเจคหนังเรื่องนี้มีความสนุกไม่แพ้ตัวหนังเองเลย
1987 - Universal เซ็นต์สัญญากับ Frank Oz ให้ทำหนังเรื่องนี้
1990 - Steven Spielberg สนใจกำกับ
- Tom Cruise ถูกเจรจาให้มานำแสดง
1991 - Steven Spielberg ไปกำกับ Hook กับ Jurassic Park แทน
- Kennedy/Marshall เอาโปรเจคนี้ไปเสนอ Paramount แทน
1994 - เซ็นต์สัญญาร่วมระหว่าง Universal กับ Paramount
1998 - Ron Howard เซ็นต์สัญญาจะมากำกับ
2000 - Spike Jonze ถูกจ้างมากำกับ
2001 - Spike Jonze ถอนตัว
- Eric Roth มือเขียนบท Forrest Gump ถูกจ้างมาแก้ไขปรับปรุงบท

ฉากหนังถูกเปลี่ยนจาก Baltimore มาเป็น New Orleans ก่อน พายุKatrina ถล่ม เหตุจากค่าใช้จ่าย แต่หลังจากเกิดพายุ ทีมงานยังอยากทำที่นี่ต่อและสภาเมืองเห็นดีด้วย จะเห็นว่าที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้เยอะมาก ยังไม่นับเทคนิคหลายอย่าง ที่ไม่สามารถทำได้แต่ก่อน แต่ ณ ตอนนี้ทำได้ (อย่างพวกฉากหน้าเด็กของทั้ง Brad กับ Cate ที่เด็กมากกกก) อีกอย่างหนึ่ง Brad Pitt ได้รางวัล The 2009 TIME 100: The World's Most Influential People จาก TIME ส่วนหนึ่งก็มาจากการหนังเรื่องนี้ที่ร่วมสนับสนุนเมืองด้วย

ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับสุดโปรด David Fincher หากใครสังเกต พัฒนาการมาเรื่อยๆจะเห็นอย่างหนึ่งว่าแกชอบ มุมมองหนังหรือมุมกล้องหรือเทคนิค ที่แปลก ไม่ว่าจะเรื่องจริง (Zodiac [2007] - ฆาตกรต่อเนื่องคนดัง ที่ยังจับไม่ได้) หรือเรื่องแต่ง (Se7en[1995] บาปร้าย7ประการ) (The Game[1997] เกมส์ที่ออกแบบมาเฉพาะคนสำหรับเศรษฐีขี้เบื่อ) (Fight Club[1999] ทางแพร่งทางจิตของคนในยุคแสวงหาแบบใหม่) มีเรื่องเดียวที่แป็ก คือ (Panic Room[2002] คุกสำหรับคนเมือง) เผอิญว่าไม่ได้ดู alien III (เป็นเรื่องแรกที่แกกำกับหลังจากดังจากกำกับมิวสิควีดีโอให้มาดอนน่า) เลยไม่มีไอเดีย เหอๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการชีวิตและประสบการณ์ของชายคนหนึ่งจาก (เกิดมา)แก่จน (ตายตอน)เด็ก, ชายที่เกิดขึ้นมาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา เมื่อปีที่สิ้นสุดมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ชายที่ในขณะที่คนอื่นจะแก่ลงไปเรื่อยๆเขากลับจะเด็กลงเรื่อยๆแบบโดดเดี่ยว /ตอนต้นเรื่องฉากเปิดตัวที่เอากระดุม มาเรียงกันเป็นรูปดูน่าสนใจดีทีเดียว กับต่อมาที่นำการเปรียบเทียบกับนาฬิกาที่เดินย้อนเวลาที่ติดในสถานีรถไฟ มาล้อกับเหตุการณ์ในหนัง ก็นำเสนอได้น่าสนใจ / หากตอนเริ่มท่านชอบแล้ว แม้ลึกๆ ท่านน่าจะเดาหรือเห็นภาพตอนจบได้ แต่ก็ยังเป็นอะไรที่คุ้มค่า การรอดู และติดตามชมเป็นอย่างยิ่ง

โดยตัวหนังแล้ว ดูสนุกมาก อันนี้ยอมรับเลย ภาพและมุมกล้องสวยสมวัยผู้กำกับ รายละเอียดและความน่าดูจริงๆ คือ เรื่องที่ค่อยๆเล่าภาพชีวิตของ Benjamin Button ไปเรื่อยๆแทรก เป็นระยะด้วยมุมมองและภาพแบบแปลกๆ สไตล์ท่านผู้กำกับ มีฉากหนึ่งผมค่อนข้างชอบ เป็นเรื่องการเล่นกับคำถาม ว่า "ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้มันควรจะเป็นอย่างนั้น" น่าสนใจในแง่มาถูกจังหวะและเวลา ใจผมว่าเหมือนหลายๆคนคิดเวลาที่เกิดเรื่องร้ายๆนะ / อันนี้เป็น blu ray แบบเวอร์ชั่นพิเศษ 2 แผ่น (ตัวหนังยาวพอตัว 2 ชม.กว่าๆ) ใครๆหลายคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยทราบอยู่แล้วว่า เรื่องคร่าวๆเป็นยังไง เพราะหนังตัวอย่าง ก็ไม่มีเจตนาจะปิดเลย แต่ประเด็นที่น่าสนใจอย่างที่เกริ่นไปแล้ว คือการดำเนินเรื่อง, รายละเอียดหนัง และความสมจริง (เทคนิคค่อนข้างดี) กับการเล่นที่ความเชื่อ-แรงปราถนาที่กลับด้านของคนเดินดินอย่างเราๆท่าน มาแต่โบราณ.....สุดท้ายเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนธรรมดาที่เกิดมาไม่ธรรมดาคนหนึ่ง.......น่าดูอย่างยิ่งครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Choke


Choke
Comedy / Drama
from the auther of Fight Club - Chuck Palahniuk
Director : Clark Gregg
Anjelica Huston ... Ida J. Mancini
Sam Rockwell ... Victor Mancini

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 7 2009, 11:58 PM

บางทีการที่เราชอบงานของใครมากๆสักงานอาจทำให้เราคาดหวังเอากับงานของเขาเหล่านั้นทุกๆชิ้นมากจนเกินงาม ที่ว่ามาก็ไม่ได้หมายความว่างานนี้จะไม่ดี เพียงแค่คาดหวังมากกว่านี้หน่อย ถ้าใครดู Fight Club คงเห็นด้วยว่า Chuck Palahniuk ผู้เขียนเรื่องนี้ เล่นกับคำว่า"ถ้า" แบบแทบในทุกบริบทสังคม "ถ้าลองเป็นอย่างงี้ดู" "ถ้านอนไม่ค่อยหลับ" "ถ้าตื่นขึ้นมาต่างสถานที่จะกลายเป็นอีกคนได้หรือเปล่า" แต่ส่วนหนึ่งต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับด้วยเพราะ นำตัวหนังสือมาสร้างเป็นภาพได้ตื่นตาตื่นใจ

เรื่องนี้พอดูเบื้องหลัง (คือโดยปกติถ้าไม่รีบมากผมชอบนั่งดู การคุยกับผู้กำกับหรือนักเขียนมันก็ได้มุมมองของหนังสนุกขึ้น เหมือนล่าสุดก็พึ่งดู Slumdog Millionaire พอดู การคุยกันเรื่องเบื้องหลังแง่มุมการกำกับของ Danny Boyle ว่าทำไงถึงกำกับ ดาราเด็กไม่ให้เล่นแข็งเป็นสากเหมือนบ้านเราได้ ก็เห็นเลยว่าต้องทุมเทเพียงใด) ผู้กำกับพูดคุยกับนักเขียนและงานเปิดตัวของหนัง โดยมี Palahniuk มาพูด ก็เล่นกับคำว่า "ถ้า" ในมุมมองใหม่ๆอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถ้าบางคนดู Fight Club มา มากรอบเหมือนที่เพลง limp bizkit ร้องเอาไว้ (ถ้าจำไม่ผิด 26 หรือ 28 รอบนี่แหละ รึเปล่า หว่า) อาจจะรู้สึกไม่ระทึกมาก เพราะบอกตามตรงว่าบางช๊อต ผมนึกถึง Fight Club แบบอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเหมือนนะ แค่รู้สึก

ในรายการสารคดีทางช่อง ดิสคัพเวอรี่ เรื่อง ฆาตกรโรคจิต มีตอนหนึ่งเป็นคนเยอรมัน ที่แสวงหาความสุขและกำลังใจ ด้วยการชักชวนหนุ่มนิรนามมาที่บ้าน ซึ่งเค้าไม่ได้ตั้งใจจะประทุษร้ายทางเพศอะไรประมาณนั้น แต่เขาต้องการให้ หนุ่มคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งหรืออยู่กับเขาตลอดกาล นี่คือคำตอบที่เขาบอกจิตแพทย์ หลังจากถูกจับในฐานฆาตกรรมแล้วตัดศพเป็นชิ้นๆไว้กิน ซึ่งเขากินทุกอย่างของร่างกายเหยื่อ ตั้งแต่หัวยันอวัยวะเพศ / แต่หนังเรื่องนี้พูดถึงการหาความสุขและกำลังใจจากเรื่องเพศและปาก เนื่องจาก ตัวเอกเป็นโรคเสพติดทางเพศ (เพศและความตาย ประเด็นอมตะตลอดกาลในการขับดันพฤติกรรมคน) ในขณะเดียวกัน ตัวเอกยังมีแม่ที่เป็นโรคจิตหลอนใกล้ตาย อีกคน และอีกครั้ง เพศและความตาย เกี่ยวพันและสร้างตัวละครต่อไปและส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อ

พูดในแง่ตลก มีเยอะมาก เพราะเล่นในเรื่องเพศทำให้มีประเด็นใส่ได้เยอะ (ตั้งแต่ตัวเอกที่เล่นมีเพศสัมพันธ์กับเค้าไปทั่วไม่เว้นแก่หรือสาว) อีกทั้งสไตล์ Chuck Palahniuk ก็น่าจะเดากันได้เลย ตลกร้ายแบบหม่นๆ ความสดใสจะมาท้ายเรื่อง เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย จริงๆแววเริ่มออกตั้งแต่ ก่อนท้ายเรื่องเร็วเหมือนกัน ทำให้กินใจแบบดิบๆ คือ บางคนอาจชอบกินใจแบบนุ่มๆบางคนก็อาจชอบแบบ rare หรือ medium rare หรือ well done ไปเลยสุกจนหายนุ่มประมาณนั้น (แต่รับประทานง่ายไม่เสียว) เรื่องนี้ผมว่าเป็น
ความสุ(ก)ขในระดับ medium rare ฉ่ำเลือดหวานพอนุ่มแต่ ไม่สุ(ก)ข มากจนแข็ง แล้วก็ไม่ดิบจนมีแต่รสเลือดในปาก แต่โอเคเหมือนที่ผมเกริ่นตอนแรก บางทีผมอาจคาดหวังมันมากเกินไป เพราะการเอาหนังสือมาทำหนังไม่ใช่เรื่องง่าย ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้กำกับแต่ละคน (ในเรื่องนี้ผู้กำกับว่ามีการคุยกับนักเขียนเยอะ แต่ผู้เขียนก็มีท้วงติงบ้าง) อีกอย่าง ผมยังไม่มีโอกาสอ่าน จึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก.....ผมเริ่มต้นว่ามันเป็นเนื้อนั้นดี เครื่องปรุงใช้ได้ แต่ผลกลับไม่ออกมาสุดๆก็ไม่ถึงกับเลวร้าย รสชาดยังครบ ก็โอเคนะเพียงแต่........อันนี้คงแล้วแต่คนดู

เรื่องนี้ได้นักแสดง เก่งคือ Sam Rockwell มาเล่น คือถ้าใครเคยดูแกเล่น ก็จะจำได้ว่า แกเน้นตลกแบบมีแง่มุม อย่างเรื่อง green mile หรือ อีกเรื่องผมจำไม่ได้แน่ๆ แต่ชื่อยาวๆหน่อยก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ในเรื่องนี้ คนคัดตัวแสดงเค้าว่าอยากได้พวก ตลกหน้าตายในบทหนักๆซึ่งRockwell ตอบโจทย์นี้ได้ดีระดับหนึ่ง จริงๆก็ยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าเป็นใครจะเหมาะกว่า / หรือ ดาราประกอบที่เล่นเป็นเพื่อน หรือบทที่ ผู้กำกับมาเล่นเอง หรือ บทนางเอก ที่ผมบอกได้เลยว่า โห้ว่ะ เล่นมุกเดียวกับหนังไทยเลย เหอๆ ก็เล่นกันได้ดี / มีมุขเล็กๆแทรกตลอด คล้ายๆ Fight Club ที่มี มุขการบูชายันต์มนุษย์เข้ามาเป็นส่วนเสริม เรื่องนี้ก็มีเช่นกันแต่เหตุเกิดในร้านอาหารแทน เข้าใจคิดเหมือนเคย และที่เหมือนกันคือ มุขไม่ได้เข้ามาและออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ต่อเนื่องและส่งผลกลับด้วย

เรื่องนี้เป็นโซน 3 บรรยายไทยเรียบร้อย ราคาย่อมเยาว์ และของแท้ น่าดูในจังหวะที่ หนังตลาดๆยังไม่ค่อยเข้ามาก

Seven Pounds


Seven Pounds
Drama

Director - Gabriele Muccino
Will Smith - Ben Thomas
Rosario Dawson - Emily Posa
Woody Harrelson - Ezra Turner
Michael Ealy - Ben's Brother
Barry Pepper - Dan

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 18 2009, 10:11 PM

ในความรู้สึกแล้วนี่เป็นหนังที่จับใจมากๆเรื่องหนึ่ง ประเด็นเรื่องชื่อเรื่องที่อาจอ้างอิงกับ "เวนิชวานิช" ที่ เศรษฐีชาวยิว(หน้าเลือด) Shylock เรียกร้องเอาจาก Antonio ซึ่งมาค้ำประกันแทนเพื่อนที่ยืมเงิน ในกรณีไม่สามารถหาเงินมาใช้ให้ได้ภายใน 3 เดือน สัญญาคือ เนื้อสด 1 ปอนด์ที่ใกล้หัวใจของ Antonio เองที่สุด (ความโลภ)หรือกับประโยคที่ว่า
"One Pound of Flesh no more, no less, no cartilage,no bone, but only flesh" ที่มาจากหนังเรื่อง "seven" ซึ่งก้ออ้างอิงมาจาก เวนิชวาณิช เหมือนกัน ข้อความนี้มาจากฉากที่ทนาย (หน้าเลือดและละโมบ greed) ตัดสินใจตัดเนื้อของตัวเอง เพื่อรักษาชีวิต / ผมสนใจในแง่ว่า ความโลภ หนึ่งในบาปร้ายเจ็ดประการ คือบาปที่ทั้งสองเรื่องข้างต้นชูประเด็นเหมือนกัน และเมื่อคุณโลภมาก ลาภจะหาย อันนี้ในกรณีไทยๆ แต่ทั้งสองเรื่องข้างต้น คือการชดใช้ ฉะนั้นเมื่อ เจ็ดคนแปลกหน้า เจอกับการเปรียบเทียบ เรื่องนี้และเรื่องบาป 7 ประการ มันจึงเกิดประเด็น 1คน / 1ปอนด์ / 1บาปที่ต้องชดใช้

พูดถึงหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนแปลกหน้า 7 คน ที่มาเกี่ยวกันโดยผ่าน ตัวเอกของเรื่อง เกี่ยวกัน"อย่างไร" นั่นคงไม่ใช่ประเด็น แต่"ทำไม" มากกว่า เพราะที่ว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะมันไปตามทางที่มันควรเป็น แต่คำถาม"ทำไม" กลับมาตอนท้ายเรื่อง ซึ่งทำให้ยิ่งกินใจมากขึ้นอีกหลายเท่า อย่างแรกหากหนังเริ่มคำถามว่า "ทำไม" ผมว่าน้ำหนักจะไปตกที่คำถามว่า "อย่างไร" มากเกินไป (นั่นหมายถึงวิธีการ) เพราะคนดูแต่ละคนย่อมคาดหวังไม่เหมือนกัน จนอาจลดทอนพลังที่แท้จริงไปได้

แค่คำถามว่า "อย่างไร" ซึ่งกินเนื้อที่ไปตลอดจนเกือบจบเรื่อง ได้แสดงอะไรที่เราเรียกว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคล สิ่งซึ่งไม่ว่าที่ใด เมื่อไหร่ ก็ยากนักที่ใครคนหนึ่งจะทำกับคนอื่นๆได้อีกหลายๆคน แค่ "อย่างไร"ตอนหนึ่งที่ตัวเอกไปบริจาค ไขกระดูก ซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแบบสุดแสน หมอถึงกับถามว่า "คุณรู้จักคนไข้มานานแค่ไหนแล้ว" มันตอบอะไรได้บางล่ะ อย่างหนึ่งเลย มันตอบว่า ไม่ใช่ทุกคนก็ทำได้แม้ว่าคุณจะเป็นคนใกล้ชิดกันมากๆก็ตาม / การอ้างว่าช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนก็ดูจะใช้ไม่ได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว สิ่งตอบแทนเรามักมองในบริบทส่วนใหญ่ที่คนมองๆกัน สิ่งตอบแทนมาในหลายรูปแบบ ทั้งสิ่งของหรือความรู้สึก หรือ บางคนหวังการชดใช้ ทดแทน(อันนี้ถ้าเชื่อตามหลักศาสนา)

เนื่องจากที่เกริ่นไปแล้ว คำถามคือ"อย่างไร" เพราะฉะนั้นเรื่องตอนต้นๆอาจมีงงๆหรือ บางช่วงอาจดูหนืดๆไปนิด แต่ยิ่งดูจะยิ่งติดและถลำลึกลงไปในรายละเอียดเรื่อยๆ ยิ่งดูยิ่งกินใจและ ยิ่งถ้าทำใจให้ว่างๆ แล้วนั่งดูจะได้บรรยากาศมากๆ ความนุ่นนวลที่แผ่ไปทั่วเรื่องได้ความรู้สึกระหว่างดูที่ดีอย่างเหลือเชื่อ และตอนจบที่แทบทำให้เกิดคำถามย้อนกลับทันทีว่า "ทำไม" คำตอบนั้นรออยู่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่ละคนคงจะตอบคำถามนี้ไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพียงแต่เรื่องนี้เลือกที่จะตอบในมุมนี้

นักแสดงทุกคนและผู้กำกับ มีความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง Will Smith ผู้ผ่านแล้วหลายบทบาท ทั้งเป็นนักมวย, เป็นฮีโร่ขี้เมา, เป็นคนที่สู้กับสัตว์ประหลาด, เป็นคนที่สู้กับคนติดเชื้อ ยังคงรักษามาตรฐานและเล่นได้โดดเด่นจนน่าแปลกใจว่าทำไมไม่ได้รางวัลอะไรเลย ส่วนนักแสดงท่านอื่นก็จัดว่าโดดเด่นกันทั้งนั้น Rosario Dawson ที่แต่ก่อนเคยเห็นเล่นแต่บทรองๆ (แต่จริงก็เล่นดี) มาเรื่องนี้ได้บทเด่นที่ถือว่าส่งสุดๆ เพราะเป็นบทที่ต้องแสดงอารมณ์แห่งโชคชะตา และในขณะเดียวกันก็ต้องมีความน่ารักแฝงอยู่ หรือแม้แต่ คนอื่นๆถึงจะมาสั้นๆ แต่มาถูกจังหวะและถือว่าคัดตัวแสดงได้เหมาะสมมาก อย่าง Woody Harrelson, Barry Pepper และ Michael Ealy มืออาชีพมาก ส่งและรับบทได้ดี อย่างว่าคือหนังประเภทนี้ ดาราต้องเล่นกันให้ได้อย่างนี้ด้วย

สำหรับใครที่ดูมาแล้วจาก โรง คงรู้สึกอิ่มเอิบไปแล้ว ตอนนี้ที่เห็นมีแต่ blu ray ออกมาขาย อึมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ลองหาๆดูแล้วกันสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและชอบหนังประเภทจับใจเน้นที่คนแสดง, อารมณ์และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับผู้คนเป็นหลัก อย่างพวก Crash , Reign Over Me หรือ Babel เรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน

Death at a Funeral (2007)


Death at a Funeral (2007)
comedy
Directors: Frank Oz

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Mar 26 2009, 07:13 AM

ดูมาหลายครั้ง ผมว่าหนังอังกฤษมักมีแง่มุม ตลกที่แปลก และขำมากกว่า อเมริกัน สไตล์ โอเคบางเรื่องก็ฝืด แต่ถ้าลองขำล่ะก้อขำฮาแตกฮาแตนตั้งแต่เริ่มจนจบเลย / ประเภทขำแดกดัน หรือตลกร้าย เป็นต้น อย่างเรื่องนี้ขำตั้งแต่ต้น (โผล่มาเจอมุขขนโล่งผิดใบมาส่ง) ยันจบ (คนแก่แก้ผ้านั่งเมายาบนหลังคาบ้าน) แจกมุขแทบตลอดเรื่อง แถมมีมุขใหม่แทรกปะปราย ให้เรื่องซับซ้อนขึ้น ให้ขำมากขึ้น / ผมเข้าใจว่านี่เป็นหนังสำหรับฉายทางโทรทัศน์ (ได้รางวัล audience award ทั้ง HBO และ Cinemax ประจำปี 2007) เลยไม่แน่ใจว่ามีใครเคยผ่านตาเรื่องนี้บ้างหรือไม่

เนื้อเรื่องหลักของเรื่องนี้เป็นประเภท เรื่องที่เกิดในวันเดียว สถานที่หลักที่เดียว และงานเดียว (ออกไปทางหนังที่เน้นไปที่การแสดงเป็นหลัก) ถ้าจะว่าไป ก็จะคล้ายๆกับขนบในการเขียนนวนิยายแนวแอริสโตเติล อยู่มาก (ในขนบแอริสโตเติล เป็นแนวโศกนาฏกรรม นัยว่าเพื่อบีบคั้นอารมณ์ได้เต็มที่).....ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกี่ยวกับงานศพ ซึ่งเป็นงานศพของหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง ที่มีลูกชาย 2 คน คนพี่เป็นนักเขียนดังอยู่นิวยอร์ค โสด และรักความหรูหรา / คนน้องฝันอยากเป็นนักเขียน แต่งงานแล้วแต่ภรรยาอยากแยกบ้านออกไปเป็นอิสระ เพราะปัจจุบันยังต้องอยู่กับพ่อแม่ ในบ้านที่กำลังจะจัดงานศพนี้แหละ ซึ่งอันนี้มีมุข เล็กๆแจก ระหว่างแม่สะใภ้กับสะใภ้ พอให้ขำ ประมาณแม่สะใภ้ แดกดันลูกสะใภ้ / แขกเหรื่อในงาน ก็ทั่วๆไปมีญาติ (ซึ่งแต่ละคนที่มาก็จะมีหน้าที่และภาระเกี่ยวเนื่องต่างกันไป...นั่นหมายความว่า หน้าที่ขำก็ต่างกันไป), มีเพื่อน (เช่นเดียวกับญาติแต่มีดีกรี ที่หลากหลายกว่าในการขำ), มีนักบวชมาทำพิธี และมีแขก เป็นชายแคระที่เจ้าของงานไม่รู้จักอีกหนึ่ง ผู้ซึ่งถามไปถามมากลายเป็นแขกคนนี้รู้จักครอบครัวนี้ดี (เรียกว่าหนึ่งในปมขำประจำเรื่องแล้วกัน)

มีประโยคหลายๆประโยคที่เกี่ยวกับงานศพ เช่น งานศพน่ะเป็นเรื่องของคนเป็น และตัวตายชื่อยังอยู่...น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ดี คือทั้งคนตายทิ้งเรื่อง และคนเป็นหาเรื่อง อันนี้ผมว่าคนที่ยังอยู่เป็นคนตัดสินซะมากกว่า เพราะแน่นอนว่าทุกเรื่องเมื่อเจ้าของเรื่องตายไป และเมื่อคนเป็นรู้เรื่อง การตีความก็ตกเป็นหน้าที่ของคนเป็น อย่างที่คนตายอาจจะไม่ได้ขอ / แถมหนัง ยังชี้ให้เห็นแง่มุมที่ว่า คนตายบางครั้งก็เป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ให้คนเป็นได้ด้วย ในกรณีคล้ายๆว่า คนบางคนประโยชน์หรือหน้าที่บางประการ ไม่ได้ตายตามร่างไปด้วย หากแต่ยังคงทำหน้าที่ต่อเนื่องต่อไป บางครั้งต่อคนที่อยู่นอกครอบครัวด้วยซ้ำไป....ผลงานส่งผ่านมาจากยมโลก ยังไงยังงั้น

องค์ประกอบที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุก ก้อมาจาก ยาเสพติด(ยาหนึ่งขวดเล็กๆจากญาติคนหนึ่งของผู้ตายที่นำมางานเพื่อจะไปให้เพื่อนต่อ) และผู้ตายนี่เอง.....ตัวแสดงทุกตัว ผมว่าแทบบอกไม่ได้เลยว่าคนไหนเป็นดาราสมทบเพราะเด่นกันไปคนละแบบ รวมทั้งมีเหตุมีผลและเกี่ยวเนื่องกันตลอดทั้งหนัง ประมาณว่าขาดไปอาจกร่อย / และเนื่องด้วยหนังมีขนาดที่ไม่ยาวมาก การสอดใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบ ละครทางโทรทัศน์ ก็ทำให้หนังไม่ดูกระด้างมากจนเกินไป แถมด้วยมุขขำที่สอดรับกันไปเป็นทอดๆ / มุขขำ
อาจจะเรียกว่าเป็นมุขสามัญตะวันตกรึเปล่า อันนี้ก็ไม่แน่ใจ มีการใช้มุขเล่นอุจจาระเหมือนบ้านเราด้วยซ้ำไป / จุดกินใจมาประมาณท้ายเรื่อง มากทั้งความหมายในประโยคพูดและการคลี่คลายของเรื่องและตัวละคร ดูจบแล้วถึงกับลืมไปเลยว่าเป็นหนังตลก ประมาณว่าฮามา 90 เปอร์เซ็นต์ พอจะซึ้งก็เล่นกินใจกันซะ

ดาราหลายคนในเรื่องนี้เป็นที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดี จากหนังดังๆหลายๆเรื่อง ซึ่งแต่ละคนถือว่าเล่นดีกันตามมาตรฐานอยู่แล้ว แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะผ่านตา แต่หนังตลกก็ตาม / ผู้กำกับสิ ทำเอาอึ้ง เพราะพึ่งรู้ว่าเป็นคนพากย์เสียง โยด้า อาจารย์ เจไดในสตาร์วอร์ส หรือ Monsters, Inc. พากย์เป็นเสียง Fungus / กำกับหนังที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จอย่าง The Stepford Wives คือจริงๆก็ไอเดียดีนะ / ลองมาดูเรื่องนี้แล้วกันคับว่าจะฮา อุจจาระแตกอุจจาระแตน ปานใด แต่สมรางวัลล่ะ อันนี้เห็นด้วย

อันนี้เป็นโซน 1 มีซับไตเติลเรียบร้อย แต่ค่อนข้างพูดเร็วในบางจังหวะ แต่ไม่ยากครับ

Body of Lies


Body of Lies
Action / Drama / Thriller
Director:Ridley Scott

Leonardo DiCaprio ... Roger Ferris
Russell Crowe ... Ed Hoffman
Mark Strong ... Hani Salaam
Golshifteh Farahani ... Aisha

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Mar 11 2009, 08:39 AM

ถ้าจะพูดว่าหนังแนวนี้ (ก่อการร้าย หรือความขัดแย้งในตะวันออกกลาง) ช่วงนี้มีเด่นๆออกมาเยอะก็คงจะไม่ผิดนัก(The Kingdom, Syriana ไม่รู้ว่าควรนับ Iron Man ด้วยหรือไม่หุหุ) และแต่ละเรื่องก็นำเสนอแง่มุมต่างกันไป และแต่ละเรื่องก็ได้ผู้กำกับและนักแสดงมากความสามารถเต็มไปหมด สำหรับดาราแม่เหล็กเรื่องนี้ก็เล่นกันดีตามมาตรฐาน โดยเฉพาะ ลีโอที่หลังจาก Blood Diamond ผมมองเค้าต่างไป เล่นได้และเล่นดีด้วยกับบทที่หนักๆแบบนี้ และถ้าใครชอบ ภาพ ลีโอแบบ โทรมๆใน Blood Diamond ผมว่าเรื่องนี้ไม่ผิดหวัง เพราะโทรมกว่าเดิมมาก เหอๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของสงครามสายลับในตะวันออกกลางที่เกี่ยวพันกับ กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งที่มุ่งมั่นและมีผู้นำที่แข็งแกร่งแถมหลบเก่งอีกต่างหาก (ผมเคยคุยเรื่องประมาณนี้กับคนอเมริกันคนหนึ่งที่เชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีของ us. ไม่มีทางที่จะจับ บินลาเดนไม่ได้นอกจากว่าไม่อยากจับเอง แล้วแต่มุมมองครับ) ความมุ่งมั่นของผู้นำนี้เองทำให้ทุกๆปฏิบัติการของกลุ่มนี้รุนแรงและมีประสิทธิภาพ และความที่หลบเก่งจึงเป็นที่ต้องการตัวอย่างยิ่ง ทั้งรัฐบาล us. และรัฐบาลชาติอาหรับ......
อยากให้ลองคิดดูเล่นนะครับว่า เดี๋ยวนี้หนังนั้นผมไม่แน่ใจว่านำหน้าเรื่องจริงหรือเรื่องจริงนำหน้าหนังในเรื่องความรุนแรง ถ้าใครจำได้จะรู้ว่ามีนิยายเล่มหนึ่งของ ทอม เคลนซี ที่ให้ผู้ก่อการร้ายใช้เครื่องบิน ถล่มอเมริกา ในเรื่องนั้นชนที่ รัฐสภา เหล่าผู้นำตายกันเยอะ แต่คนนำเครื่องบินโดยสารนั้นเป็นญี่ปุ่นไม่ใช่ อาหรับ นิยายนี้มาก่อน 11 กย.นานเหมือนกัน

แต่เรื่องนี้กลับไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่การไล่ล่าแต่เพียงอย่างเดียว โอเคมันเป็นแกนอันหนึ่ง แต่ผมมองว่าแค่สร้างประเด็น หรือสร้างจุดขึ้นมา แล้วใช้เส้นเชื่อมไปหา ซึ่งผมรู้สึกว่าในกรณีนี้ เส้นที่เชื่อมระหว่างจุด หรือประเด็นทั้งหลายน่าสนใจกว่ามาก...นั่นคือการนำเสนอในแง่บุคคลได้สะใจมาก(มีไฮเทคบ้างตามกระแส) เพราะบุคคลคือผู้สร้างเส้นเชื่อมจุดโดยแท้....หลายคนคงรู้ว่าพื้นที่ ตรงจอร์แดน, ซีเรียและอิรัก มีสงครามบ่อย พวกสายลับมีมาตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดนั่นคือเป็นพันปีแล้วครับที่ บริเวณนี้เป็นพื้นที่แย่งชิงข่าวและความได้เปรียบ ไม่มีความแปลกใจเลยถ้าคนที่อยู่แถวนี้(เจ้าหน้าที่ข่าวกรองหรือผู้ก่อการร้าย)หรือคนที่เข้ามาบริเวณนี้(ไม่ว่าจะยิว, มองโกล, อาหรับ หรือฝรั่ง)จะต้องแข็งสุดๆหรือไม่ก็โกหกเก่งสุดๆ (เอาง่ายๆแค่สงครามครูเสดก็หักหลังกันไปมา สร้างข่าวเท็จหลอกกันไปมาอือซ่าแล้ว)

Roger Ferris สายลับภาคสนามที่พูดอาหรับได้ดี เข้ามาทำงานในอิรัก ได้รับการมอบหมายจากหัวหน้า Ed Hoffman ให้ย้ายฐานการทำงานมาอยู่ใน จอร์แดน เพราะได้ข่าวว่า ผู้นำกลุ่มการร้ายคนสำคัญ Al-Saleem หลบซ่อนอยู่ที่นี่ และในฐานะสายลับภาคสนามที่ขาดคน ทำให้ต้องไปขอความร่วมมือจากเจ้าของพื้นที่ อย่าง Hani Salaam หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของจอร์แดน ผู้ยืนกรานถึงหลักความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างเพื่อน....มันดูแปลกไหมในวงการที่หลอกกันไปมา...แต่ก็ต้องมีผมเองก็ว่าสำคัญในระดับหนึ่ง สำหรับการหาพันธมิตร บนพื้นฐานแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน....และระหว่างนั้น Roger Ferrisให้มีเหตุต้องไปหาหมอ เขาเจอกับ พยาบาลสาวสวย อดีตคุณพ่อเป็นชาวอิหร่านอพยพ Aisha (สวยจริงครับยืนยัน คมสุดๆ)ความสัมพันธ์ของทั้งคู่และปฎิบัติการแบบใหม่ จะนำพามาซึ่งสิ่งไม่คาดหวังทั้งปวง พลิกลำกลับหัวกลับหางตลอดเรื่องจนถึงตอนจบ ขนาดว่าเกินความคาดเดา

Ridley Scott กลับมาอีกครั้งด้วยมุมมองเก๋าเกมส์ พร้อมดาราที่เล่นได้เด่นไม่แพ้กันทั้งดาราดังและดาราไม่ดัง นางเอกสวย เล่นได้ตามมาตรฐาน Mark Strong เล่นบทหน.สืบราชการลับได้มีคลาส และรุนแรง แถมมุมมองเรื่องการก่อการร้ายที่เน้นได้โหดขึ้น....แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมว่าหนังตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้ดีระดับที่ ผมเองตอนแรกก็นึกไม่ถึง แต่พอ บทRoger Ferris พูดปุ๊บผมคิดตามเลยว่า....เออว่ะ มันน่าลองจริงๆ....สิ่งต่อไปคือ คำตอบต่อคำถามที่อเมริกันคนนั้นคุยกับผมเรื่อง บินลาเดน คือเทคโนโลยีไม่ได้เป็นทุกอย่าง...คนครับเพ่ หลากหลายสุด และ คนครับเพ่ที่ยังไง เทคโนโลยีก็ทำตามไม่ได้ เพราะ คอมมันหลอกไม่เป็น ใส่อะไรมันก็ตอบตามนั้น แต่คน ตอแหลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้แม้กระทั่ง สร้างเรื่องจากอากาศได้ และอีกครั้งที่มีการใช้สถาปนิกมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวละคร เหอๆ สถาปนิกผู้สร้าง สิ่งที่จับต้องได้ วนเวียนมาสู่ กลุ่มกองตดที่ฟุ้งกระจายในอากาศ

แถมคำเด่นให้ซักคำ ขำดี "insa" mean " too fucking bad"

Before The Devil Knows You're Dead


Before The Devil Knows You're Dead
Thriller / Drama

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Feb 19 2009, 11:46 PM

เมื่อสองพี่น้อง Andy [Philip Seymour Hoffman] กับ Hank [Ethan Hawke] เกิดปัญหาทางด้านเงินทอง คนหนึ่งขาดเงิน / คนหนึ่งถูกผลกระทบของการขาดเงินเล่นงานแถมขาดรักอีกต่างหาก ผู้พี่จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการปล้น ผู้น้องเองก็ตกลง แต่เป็นการปล้นที่เหลือเชื่อ และผลสรุปที่ไม่น่าอภิรมย์ของการปล้น เพราะการคิดแบบจะว่าสั้นก็สั้นคำ ครับ เพราะปล้นร้านแม่ตัวเอง จะว่ายาวก้อว่ายาวเพราะน่าจะเลี่ยงปัญหาบางประการได้มากกว่า จากประโยคเด็ดของ andy ที่บอกว่า "ไม่มีอะไรทุกคนชนะหมด ไม่มีปัญหา" แล้วสุดท้าย ก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อคนทั้งคู่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จากผลอันนั้น เหลือจะคาดเดาสำหรับทั้งพี่น้อง และคนดู เช่นกัน

ผลงานการกำกับ ของ Sidney Lumet ซึ่งเคยกำกับหนังดังๆ อย่าง Dog Day Afternoon, Serpico มาแล้ว ต้องยอมรับว่า ด้วยความเก๋า ทำให้หนังดูออกมาง่ายๆแต่มีราย ละเอียดเยอะมากในการนำเสนอ ความมีประสบการณ์ กระมัง ผมว่านะ เลยทำให้หนังดูลื่นและดูวัยรุ่นนิดๆ ด้วยการตัดต่อแบบ ว่องไวแบบย้อนไปย้อนมา แบบอินเทรนด์ตามสมัยนิยม โดยหนังใช้การตัดต่อ เรื่องราวสลับไปมา ทั้งก่อนและหลังหรือระหว่างเหตุการณ์ ทำให้ดูสนุกขึ้น หรือบางคนอาจจะว่าปวดหัว ก้อแล้วแต่รสนิยม รวมทั้งการหักมุมแบบมาเป็นระยะๆ แน่นอนบางตอนผมว่าบางคนเดาได้ แต่ หลายตอน อาจจะร้องอู้หู แทน

ความเก๋าของผู้กำกับที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือเปลี่ยนตัวละครต้นฉบับจากเพื่อนกัน มาเป็นคู่พี่น้องแทน ซึ่งผู้กำกับให้ความเห็นว่าเพื่อความมีสีสรร และมีเหตุมีผลขึ้น และแน่นอนว่า นักแสดงชายทั้งสองคน จริงๆก็ต้องรวมบทพ่อ [Albert Finney] ด้วย เด่นกันทุกคน บอกตามตรงผมเป็นแฟน Philip Seymour Hoffman มานานตั้งแต่ Scent of a Woman ยังจำเด็กเปรต คนนั้นได้ไหม เด็กอวดรวยที่ชอบแกล้งเพื่อน ผมว่าแกเล่นดีนะแบบ กวนทีนดี แต่ในราย Ethan Hawke นี่ผมพึ่งรู้สึกจริงๆว่าเพ่แก ก้อเล่นดีแบบถึงใจเหมือนกัน คือเรื่องนี้ เล่นได้ตรงบทแบบทำให้ตัวละครน่าสมเพช ได้แบบอินลึก คือ ออกทั้งแววตาและภาษากายเลย

จะว่าเรื่องนี้แอคชั่นไหม ก้อมีนะ จะลึกลับไหม ผมว่าแน่นอน โหดไหม อึม.....โหดแบบใช้ได้ บางอันมีช๊อค แบบเอาใจช่วยตัวโกงแทน เหอๆ อ่ะมันยังไงกันนี่ โดยรวมๆหนังที่ออกแนวปล้นๆ ถ้าไม่สมจริงไปเลยแบบมีคนเอามาเลียนแบบ (อย่างเรื่อง heat ผมจำได้เลยว่ามีโจรจริงๆปล้นใน L.A เหมือนในหนังมากเลยแทบ ก๊อปกันแบบช็อตต่อช็อต แต่ของจริงอันนั้นโจรตาย) ก้อต้องออกแนวหักมุม หรือ ออกดราม่าไปเลย ผมว่าเรื่องนี้ออก แบบ 2แบบหลัง แบบแรกผมไม่อยากให้ใครเลียนแบบจากหนังเรื่องนี้เลยจริงๆ อีกเรื่องคือ บางตอนอาจจะออกแนว หดหู่ไปบ้าง แต่ก้อไปตามจังหวะของหนัง บางครั้งหาดูแบบนี้บางก้อดี แบบ แก้เลี่ยนหนังแนวเดิมๆ

เรื่องนี้มันสอนเราว่า เงินไม่เข้าใครออกใครจริงๆ และหากคิดที่จะทำชั่ว มันก้อต้องมีพลาดสักวันแม้จะสุขชั่วยาม และเมื่อพลาด ก้อตามชื่อหนังเลยครับ....
ผมว่าต้องดูเองครับถึงจะสนุก เพราะรายละเอียดเล็กๆน้อย หากบอกหมดจะหมดสนุกไปไม่น้อย ลองดูตอนหักมุมและตอนจบครับสุดยอด ถึงบอกได้เลยว่า แจ่มมาก มีโซน 3 ขายครับ ราคาไม่แพง ไม่นึกเหมือนกันว่าจะมีหนังประเภทนี้ขาย ดูเพลินไม่เหนื่อยมาก หรือ ถ้าชอบมากจะซื้อ blu ray ผมก้อเห็นมีเหมือนกันครับ

แถมว่า Marisa Tomei นางเอกเรื่องเปิดฉากมาแบบ ถึงกับต้องร้อง อู้หู เดี๋ยวนี้เล่นขนาดนี้แล้วหรือ หุหุหุ

The Rape of Europa


The Rape of Europa

Written, Produced and Directed by Richard Berge, Nicole Newnham and
Bonni Cohen
Based on "The Rape of Europa" by Lynn H. Nicholas

ต้นฉบับเขียนเมื่อJan 9 2009, 11:22 PM

สารคดีนี้มุ่งเสนอแง่มุม อันเป็นผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่2 ต่อ วงการศิลปะในยุโรป และ แสดงความหลงใหลในงานศิลปะของท่านผู้นำ และเหล่าชนชั้นนำในพรรคนาซี หลายคนที่เคยผ่านตาพวก หนังสงคราม อย่าง ชินด์เลอร์ ลิสต์ คงพอจำได้ถึงฉากที่ มีการคัดแยกสมบัติ ยิวในสถานีรถไฟ แห่งหนึ่ง ที่คัด ตั้งแต่ ฟันปลอม ไปยัน เครื่องเงิน ซึ่งแน่นอนไม่ไกลเกินจริงนัก

สารคดีนี้เริ่มต้น ว่าด้วยข้อพิพาท ระหว่างรัฐบาล ออสเตรีย ซึ่งได้ผลงานของ Gustav Klimt (รูปดังๆ ก้ออย่าง kiss แล้วก็พวกรูปที่ใช้ทองคำมาแต่ง) มาอย่างไม่ถูกต้อง เพราะ นาซีขโมยมาจาก ครอบครัวผู้ร่ำรวยชาวยิว เบาเออร์ ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นชุดรูปเหมือนของ ผู้มีศักดิ์เป็น ป้า หรือ น้า ของทายาทในปัจจุบัน
ซึ่งมีการเฉลยในตอนหลังว่า ศาลออสเตรีย ตัดสินให้คืนไป ซึ่งเป็นข่าวใหญ่พอควร เมื่อปี 2006

สารคดีแสดงต่อไปถึง ทัศนะคติของนาซีต่อ ชาวสลาฟ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ในแถบยุโรปตะวันออกหลายประเทศ รวมทั้ง โปแลนด์ ว่า ไม่ต่างจากยิว ทำให้ต้องมีการล้าง ให้หมดไปจากโลก ซึ่งหมายรวมถึง การล้าง วัฒนธรรม อาคาร ศิลปะ คือ ทุกๆอย่าง โดยเริ่มตั้งแต่การ เผาห้องสมุด(สังเกตุว่า หนังสือมักเป็นเป้าหมายแรกๆเสมอ) ระเบิดวังเก่าทิ้ง(จากความพยายาม 2 ครั้ง) โดยใช้หน่วยพิเศษ ในชื่อ เยอรมัน ว่า "Vernichtungskommando" หรือ แปลว่า หน่วยทำลายล้าง โดยหน่วยนี้มีหน้าที่เดียว คือ ทำลายทุกอย่างในทางวัฒนธรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมด ในเมืองหนึ่งที่ชื่อ Cracow เมืองเดียวกับฉากในเรื่อง ชินเลอร์ ลิสต์ ก็มีการขโมย ศิลปะที่เป็นโอลด์มาสเตอร์ ตย.เช่น พวกสายอิตาลีอ่ะครับ จำพวก ดาวินชี ราเฟลเอล หรือ เป็นสายฮอลแลนด์ อย่าง แรมแบรนด์ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน รูปของราเฟลเอล ก็ยังหายอยู่นะครับ / พวกรูปบูชาในโบสถ์ เพ่แกก้องัด วังของปีเตอร์ กับแคทเธอรีน ในรัสเซีย ที่บางคนอาจจะจำได้ พวกรูปปั้นที่น้ำพุ ก้อโดนงัด โชคดีที่ของเหล่านี้ได้คืนหมด

เรื่องการขโมยศิลปะ ทั้ง ภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ ประติมากรรม ของนาซี ผมก้อพึ่งรู้ว่า ขโมย เยอะขนาดนี้ แค่ เฉพาะในฝรั่งเศส มีการขโมยภาพวาดที่เป็นสมบัติของชาวยิว ไป มากกว่า 16,000 ชิ้น เอา ง่ายๆ เฉพาะ คอลเลคชั่น ส่วนตัว ของ เกอริ่ง ซึ่งเป็นเบอร์ 2 ของนาซี ก้อมี ภาพวาดที่ขโมยมา มากว่า 1,700 ชิ้น มากกว่า บาง พิพิธภัณฑ์ ซะอีก ซึ่งยังไม่รวมคนอื่นที่สะสมตาม ฮิตเลอร์ อย่าง พวก ฮิมเรอ หรือ สเปียร์ ก้อมี มีกันอีกเยอะ หลังสงคราม อเมริกาไปเจอในเหมืองเกลือทางเหนือของออสเตรีย อีกอื้อ โดยมีรูป ประมาณ 6,500 ชิ้น แบบสเกต์แบบร่างอีก มากกว่า 3,000 ชิ้น และอื่นๆ ซึ่งจริงๆแล้วชุดนี้ ฮิตเลอร์ อยากเอาไปใส่ไว้ใน พิพิธภัณฑ์ ส่วนตัวที่บ้านเกิด ในออสเตรีย อีกที่ที่มีการเจอ งานศิลปะเยอะๆ ก้อที่ ปราสาท Neuschwanstein (วังต้นแบบสโนว์ไวส์ ถ้าจำไม่ผิดนะ) ซึ่งจำนวนก้อไม่น้อยเหมือนกัน หลายตู้รถไฟอยู่

ในอีกแง่หนึ่งผลพวงจากสงคราม ก้อส่งผลถึงงานศิลปะ เพราะมีการ ทิ้งระเบิดกันนั่นเอง ตัวอย่างจากฝีมือนาซี ก้อ สะพาน Ponte Santa Trinita ใน Florence ที่ออกแบบ โดย ไมเคิล แองเจลโล / อเมริกัน ก้อไม่น้อยหน้าครับ บอมบ์ใส่โบสถ์เก่าแก่ Monte Cassino Abbey จนราบ ที่ตลกคือ ไม่มีทหารเยอรมันตายเลย แต่ ชาวบ้านที่ซ่อนตัว อยู่เพราะคิดว่า ที่นี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่โดนบอมบ์ กลับตายแทน อีกที่ ก้อ pisa ซึ่งผมก้อนึกมาตลอดว่า ที่สำคัญต้องเป็น หอเอน แต่จริงๆแล้ว เป็นสุสานสมัยกลาง ที่รวมโลงหิน กับ คอลเลคชั่น ภาพ fesco ที่ใหญ่ในยุโรป ชื่อว่า The Camposanto อันนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทิ้งระเบิดผิด ปัจุจบัน อยู่ในระหว่างบูรณะ ซึ่ง เสียหายเยอะเลยล่ะครับ

สารคดีนี้เป็น โซน 1 ไม่มี ซับ แต่ฟังไม่ยากมาก และที่สำคัญ มีภาพทั้งนิ่งและเคลื่อนไหวที่ น่าชมและหาดูยากเยอะ ส่วนตัวผมเอง รู้สึกว่าเป็นสารคดีที่ออก ดราม่ามากๆบวกศิลปะ บางช่วงผมเห็น แล้วถึง กับเศร้า ว่าอึม สงครามมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

อันหนึ่งที่สงสัยมากคือ การทวงคืนงานศิลปะเนี่ย ผมว่าบางที ก้อตลกนะครับ คือ ฝรั่งมักจะทวงกันเอง แต่ไม่ค่อยยอมให้คนอื่นทวง อย่าง กรณี งานศิลปะของอียิปต์ เห็นมีการเรียกร้องหลายอันเหมือนกัน ทั้ง รูปปั้นเนเฟอร์ติตี(ในเยอรมัน) หรือแท่งหินสลัก(อังกฤษ) หรือเสาโอบิลิค ที่ทั้ง อังกฤษและฝรั่งเศส ขโมยตัดมันไปดื้อๆเลย ไม่เห็นคนพูดถึงกันมาก

อีกประการที่ผมเห็นจากสารคดีนี้คือ ประเด็นในแง่เกี่ยวกับวัฒนธรรม และชาตินิยม คนที่ดึงขึ้นมาใช้ (จริงๆ) ส่วนใหญ่ล้วนมีประเด็นแอบแฝง(ไม่ดี) ไม่ทางใดก้อทางหนึ่ง การที่ฮิตเลอร์ ชูประเด็นเรื่องความเหนือกว่าของชาติพันธุ์ในการทำลายล้าง ช่างไม่ต่างอะไรกับ ชาวเอเธนส์ อ้างกับชาวเกาะมีลอส ถึงความชอบธรรมในการบุกยึดและปกครองรวมถึงฆ่าด้วย เพราะ ถือว่าตัวเองสูงส่งกว่า และมีความรู้มากกว่า ดูเข้าข้างตัวเองเหลือประมาณ แล้วเหมือนว่าโลกก็ไม่ได้เรียนรู้ประเด็นนี้กันเลย

Paprika


Paprika
Author : Yasutaka Tsutsui
Director : Satoshi Kon

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Jan 2 2009, 09:53 PM

เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นว่า อนิเมชั่น ญี่ปุ่นไปได้ไกลกว่า หนังการ์ตูนแบบ สัตว์น่ารักๆของดิสนีย์ โขอยู่ คือในความเป็นจริงแล้วถึงแม้เรื่องนี้จะสร้างจาก นิยายดังก้อตาม ซึ่งหนังส่วนใหญ่ก้อสร้างรึอ้างอิงจากนิยาย หรือ การ์ตูนดังๆ อยู่แล้ว แต่มุมมองในการนำเสนอของทางญี่ปุ่น ในแง่วัฒนธรรมทางความคิด ล้วนมีส่วนผลักดันให้ผู้กำกับกล้า ในการนำเสนอในมุมที่ หนักแน่นขึ้น โดยที่มีบางฉากด้วยซ้ำที่ผู้กำกับ มีความคิดที่เพิ่มเติมขึ้นมา ที่แม้แต่นักเขียนก้อสนใจ (ดูจากเบื้องหลังนะครับ) หรือ อาจเป็นผู้ชมตอบรับหลากหลายกว่าก้อเป็นได้ เลยทำให้ผู้สร้างรู้สึกว่า ตลาดตอบรับดี

แนวของเรื่องนี้จะวิ่งระหว่างความจริงและความฝัน หากจำได้ สไตล์นี้ ได้ถูกนำเสนอมาก่อนใน perfect blue แต่อันนี้ลอยไปไกลกว่า และมีมิติที่ลึกกว่า แต่น่ากลัวน้อยกว่า ไม่หลอนมากจนนอนไม่หลับเท่า (คือส่วนตัวผมว่า perfect blue คือการ์ตูนที่น่ากลัวโคตรๆแล้ว เพราะมันหลอน ในแง่ วิ่งไปวิ่งมา ระหว่าง จริง-ไม่จริง, ดี-บ้า)

ถ้าใครเคยดูเรื่อง cell ที่ เจ โล เล่น ผมว่าจะเห็นภาพ ประมาณนั้นเลย แต่ฝันในเรื่องนี้รอยต่อระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องฝัน จะออกเบลอๆ ไม่เหมือน cell ที่แยกชัดกว่า ประมาณว่ามี เฟรดดี้ คูเกอร์ มาช่วยสร้างสรร และทำส่วนรอยต่อให้มันกลมกลืน คือทั้งสองเรื่อง มีตัวโกงที่เป็นคนจริงๆเหมือนกัน ต่างกันที่รายละเอียดเรื่อง ความฝัน และการที่สลับไปมา ทำให้ตัวละครงง และตัวคนดูบางทีก็งงไปด้วย เรียกว่า ได้บรรยากาศลึกกันสุดๆ ดูไปดูมาผมกลับรู้สึกว่า ออกไปทาง เมตริกซ์ น่าจะโอเค แต่ก้อนั่นแหละผมว่ามันก้อผสมๆกันอยู่ ขึ้นอยู่กับการนำเสนอมากกว่า

ในแง่การนำเสนอ ผมว่าพัฒนาขึ้นมาก คือสวยขึ้น ละเอียดขึ้น สีสรรงามหยด สมจริง เรื่องฉากละเอียดสุดยอด มีมิติ อีกอย่างปฎิเสธไม่ได้เลยว่า นักเขียนมีพื้นฐานด้านจิตวิทยา ดีมากครับ ทำให้เนื้อเรื่องมีความซับซ้อน และน่าสนใจ แบบที่ว่าการนำเสนอเป็นภาพก้อต้องฝีมือจริงๆ ไม่งั้นจะไม่สามารถนำเสนอออกมาได้ ขนาดนี้

เรื่องคร่าวๆ คือ มีการพัฒนาเครื่องๆหนึ่งขึ้นมาเพื่อช่วย จิตแพทย์ในการรักษาคนไข้ ผ่านทางความฝัน (หรือควบคุมความฝัน) แต่ในระหว่างนั้น กลุ่มคนที่ร่วมพัฒนา เกิดอาการเพี้ยน แบบจิต ลอยผสมจิตนาการกับโลกความจริง จนแยกกันไม่ได้ ประมาณว่า จิตหลุดในขณะตื่น หนักกว่าฝันกลางวันอีก ทำให้มีคนบาดเจ็บ ขึ้น การสืบหาถึงใครที่อยู่เบื้องหลังจึงเริ่มขึ้น โดยมีนักวิทยาศาสตร์สาว[Atsuko Chiba] และอัจฉริยะ หุ่นซูเปอร์
ไซด์[Kohsaku Tokita] ร่วมในการสอบสวน เมื่อเป็นเรื่องของความฝัน การสืบสวนจึงมีมิติที่ลอยไปลอยมา อย่างสุดๆ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสิ่งที่เราคิดว่าอยู่แต่ในฝันโดดออกมาร่วมในชีวิตจริง แล้วเราจะแน่ใจได้ไง ว่าเมื่อไหร่มันจะหยุด แล้วมันจะน่ากลัวขนาดไหน เมื่อสิ่งในฝันเป็นศัตรูของเราในโลกความจริง
ปาปริก้า คือใคร ผมว่าต้องดูจะสนุกกว่า แต่ที่แน่ๆคือ เป็นตัวละครผู้หญิง ที่มีบทบาทสมกับแนวของเรื่องจริงๆ
บวกกับ การที่เรื่องนี้ใช้ สื่อ และสัญลักษณ์เยอะมาก จนขนาดที่ว่าใครชอบเรื่องทางจิตวิทยา ก้อน่าจะเพิ่มดีกรี ความสนุกได้อีกมาก

เรื่องเพลงประกอบถือว่า อลังการงานสร้างอย่างแท้จริง ถ้าใครมีโอกาส เพลงประกอบหนังก็น่าสนใจมากๆครับ

Tekkonkinkreet


Tekkonkinkreet
Directed by Michael Arias
Original Created by Taiyo Matsumoto

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Dec 14 2008, 10:26 PM

หนังอาจจะเก่าไปนิดนะ ออกปี 2006 แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอผู้กำกับฝรั่งในงานอนิเมชั่นที่สร้างและใช้เรื่องจากการ์ตูนในญี่ปุ่น(จากเรื่องblack&white ในชื่อภาษาอังกฤษ) บอกตามตรงว่า ประทับใจมากครับ ทั้งรายละเอียดและการตีความ แล้วท่านผู้กำกับนี่ พูดญี่ปุ่นเก่งมากๆด้วยนะครับ

โดยธรรมดาในความเห็นส่วนตัวเรื่องการ์ตูนเนี่ย ญี่ปุ่นดูจะได้เปรียบกว่าฝรั่งในแง่ความลึกของเนื้อหา และในแง่การนำเสนอความลึกนั้นออกมาเป็นภาพ พูดกันในแง่ตัวการ์ตูนเอง เรื่องนี้แม้ตัวการ์ตูนจะไม่แจ่มมากๆ แต่ก้อดูเข้าถึงและตอบโจทย์ได้ดี ส่วนที่เด่นมากๆอันหนึ่งคือ ฉากในท้องเรื่อง เนี้ยนมากๆ ว่ากันถึงขนาดของเมืองนี่ สุดยอดไปเลย มีการใช้เทคนิค แมปปิ้ง ที่เราใช้เวลาทำ 3d มาใส่ได้ลงตัว ทำให้ได้มุมมองที่ตื่นตาตื่นใจ แต่ยังดูเป็นการ์ตูนอยู่ด้วยไม่แข็งเหมือนที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ อีกทั้งในบางฉากก้อมีการผสมเทคนิคภาพเขียนมือ แบบใช้สีไม้ผสมด้วย คือนี่แหละ คือ ฝีมือผู้กำกับจริงๆ ถึงแม้ว่าท้ายสุดเวลาจะไม่พอ จนต้องตัดออก อันนี้ต้องดูเบื้องหลังครับ แต่ก้อยังแสดงถึง มุมมองที่ดีครับทำให้น่าติดตามผลงานชิ้นต่อไป

รายละเอียด ฉากนั้นเกิดในเมือง ที่ชื่อว่า Treasure Town ซึ่งเป็นเหมือนเกาะ มีแม่น้ำล้อม องค์ประกอบในเมืองผู้กำกับนำมาจากหลายๆเมืองในเอเชียมารวมกัน ตัวละคร แบ่งออกได้เป็นกลุ่มๆ คือ ตัวหลักเด็กชายสองคน Black และ White
กลุ่ม ตำรวจ Sawada กับ ผู้กอง Fujimura / กลุ่ม ยากูซ่า ซึ่งมีทั้งตัวดี และตัวเลวรวมๆกันอยู่ คือ Suzuki or Rat, Kimura, The Boss และ Snake / กลุ่มตัวรอง คู่หูDusk กับ Dawn, แก็งค์ The Apaches และคุณปู่ Gramps

คร่าวๆคือ เด็กชายสองคน Black และ White มีอำนาจพิเศษบางอย่างในตัว พวกเขาคุมเมือง ในแบบของพวกเขา (อย่าลืมว่ายังเด็ก) อีกด้านหนึ่ง เมืองนี้ก้อถูก จ้องมองและคาดหวังถึงผลประโยชน์จากกลุ่ม ยากูซ่า ที่หวังจะสร้างศูนย์กลางความบันเทิงในย่านใจกลางเมือง ซึ่งมันให้บังเอิญว่า เด็กสองคนนี้ไปจุกจิก จึงต้องเจอการต่อต้านจากกลุ่มยากูซ่า ในด้านประเด็นลึกๆ ดูๆก้อน่าจะเดาพอได้ว่า เป็นเรื่องของสองขั้ว อีกแล้ว แต่แน่นอนความพิเศษมันอยู่ที่ สองขั้วที่ว่ามันลามไปในทุกตัวละคร เข้าไปในจิตใจ เข้าไปบงการ เข้าไปครอบงำ ตัวละครให้ขับเคลื่อน บางฉากนี่ยังกับดู สตาร์วอร์ส ในแง่แนวความคิดนะ ในบางแง่ สองขั้วเข้าไปครอบงำในด้านดี ในบางด้านไม่ดี แต่หนังเองไม่ปฏิเสธว่า สองขั้วนั้นต้องอยู่ร่วมกัน อย่างอาศัยกันละกัน เหมือน white ที่มีอิทธิพลเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ต่อ black ใน ขณะเดียวกัน black ก้อมีพันธกิจ ในการคุ้มครอง white ในทุกทาง ตัวละครสองตัวนี้แสดง ทิศทางและการดำเนินเรื่องได้ซับซ้อนในระดับหนึ่ง

ตอนผมดูเบื้องหลัง ผู้กำกับออกความเห็นว่า black ช่างเป็นเด็กที่แปลกแยก และโดดเดี่ยว ซึ่งในบางแง่ผมคิดว่ามันช่างเหมือนเด็กในปัจจุบัน ที่เจอทาง สองแพร่งตลอดเวลา คือ แค่ลำพังคิดเองก้อจะไปไม่รอดอยู่แล้ว อีกทั้งความมากมายของข้อมูลที่ประดังเข้ามาด้วย เพียงแต่ black ได้ white กับเพื่อนช่วยฉุดเอาไว้ ผมคิดว่า เด็กหลายคนในโลกแห่งความเป็นจริง คงจะไม่โชคดีอย่าง black ที่มี white อยู่ ยามเมื่อถูกตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดตัวหนึ่ง ครอบงำ เพราะมันคือสิ่งที่มีพลังและเปลี่ยนชีวิตใครบางคนได้จริงๆ ตัวละครนั้นคือ ไมโนทอร์ สัตว์ครึ่งคน หัวเป็นกระทิง ที่อาศัยในเขาวงกต ใต้วังของกษัตริย์ไมนอส บนเกาะครีต แต่ในเรื่องนี้ เป็น เด็กที่สวมหน้ากาก กระทิง มีพลังอำนาจมหาศาล ในแง่หนึ่ง ไมโนทอร์เป็นตัวแทนของ จิตใจด้านมืดของคนที่หลงใน เขาวงกต หรือจะเรียกว่า วงวนในใจก้อ น่าจะได้ คือประมาณว่าทางแพร่งนั้นปรากฎในตัวตนของเขาเลย โดยประทับสวมลงไปในรูปของครึ่งสัตว์ครึ่งคน (ผมเคยคิดเล่นๆว่างั้นคำด่าที่เปรียบกับสัตว์ที่มีในแทบทุกวัฒนธรรม มันแสดงถึงสภาวะทางแพร่งในใจของคนรึเปล่า) ต้องยอมรับอีกอย่างว่า ตอนฉากเพ่กระทิงปรากฎ จะเป็นฉากที่ล่องลอย มากๆฉากหนึ่ง ดูแล้วพาลคิดถึง หนังสมัยยุค ฮิปปี้ หรือ พวกเพลงโปรเกรสซีพ มากๆ คือ โทนสีนี่ ไซคีดีลิค มากๆ และตอนจบเป็น ฉากที่สวยมากๆ ฉากหนึ่งครับ

อีกตัวละครที่น่าสนใจ คือ ยากูซ่า กลุ่ม rat ครับ มุมมองและมิติที่ออกมา มันจะเป็นหนังดราม่า อยู่แล้วล่ะครับ ละเอียด ลุ่มลึก ในระดับที่น่าประทับใจฉากที่เกี่ยวเนื่อง นี่ ดูๆไป ถึงกับอึ้ง ในแง่ที่ว่า ไม่ใช่แค่เด็กที่เจอ ทางแพร่ง ผู้ใหญ่ก้อเจอ แต่วิธีที่จัดการ มันจะออก จริงจังมากกว่าก้อเท่านั้น

คือถ้าสนใจและหาเจอ ก้อน่าหามาดูครับ อันนี้เผอิญเจอแต่ บลูเรย์ แต่ตอนหลังเห็นเป็นแผ่น แบบดีวีดี ก้อมีขายเช่นกัน

Taxi To The Dark Side


Taxi To The Dark Side
Director : Alex Gibney

2008 Acdemy Award Winner / Best Documentary Feature

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Feb 7 2009, 06:44 PM

ตัวผมไม่เคยเห็นตอนสอบสวนในที่ลับตา (ซ้อมก้อไม่น่าผิด) แต่เห็นสภาพก่อนและหลังการสอบสวนของผู้ต้องสงสัย (กรณีที่เจอคือ มีผงขาวในครอบครอง) แต่ได้ยินแค่เสียงตอนระหว่างสอบสวน ตอนนั้นยังเด็ก ซักประถมได้ พึ่งรู้นี่แหละว่าสอบในที่ลับตานี่ ถามกันหนักขนาด ป้อมยามที่เป็นไม้แทบพัง หนักกว่าที่เห็นกันจะๆตามากมาย เพราะแค่เสียงนี่ก้อ 5.1 แล้ว เสียงเนื้อกระทบอะไรบ้างอย่างที่หนักๆทึบๆ เสียงคนที่โดนสอบ ที่แทบไม่มีเสียง คือจริงๆมันเบามากๆ กับสภาพหลังสอบของผู้ต้องสงสัย นี่เห็นสภาพเลยว่าสุดๆขนาดไหน (ปล.คือจริงๆหมอนี่ผมเห็นตั้งแต่มันพกยาเอามาขายเด็กๆแล้วเจอตำรวจนอกเครื่องแบบพอดี เค้าก้อเลยนำหมอนี่ไปสอบที่ป้อมยามใกล้ๆกัน)

มาถึงสารคดีชุดนี้ ผมซื้อเพราะเห็น กระทู้หนึ่งเรื่อง รางวัลออสการ์ เลยลองหามาดูไม่ผิดหวังสมรางวัลมาก สารคดีชุดนี้กล่าวถึง การกักกันตัวและสอบสวนนักโทษในข้อหาก่อการร้าย ตามสถานที่คุมขัง
Bagram Air Force Base[Afghanistan] / Abu Ghraib[Iraq] / Guantanamo Bay[Cuba]
ตัวเอกซึ่งเป็นที่มาของเรื่องและเป็นที่มาของการสอบสวนเปิดโปงกันครั้งใหญ่คือ Dilwar 'taxi driver' อายุ 22 ปี จากเมือง Yakubi, Afghanistan ตอนต้นๆจะมีการคุยกับที่บ้านของหนุ่มคนนี้ ซึ่งชอบขับแท็คเตอร์ ที่บ้านเลยให้ไปขับแท๊กซี่แทน เหอๆ ดูน่ารักดีครับ วันเกิดเหตุพ่อหนุ่มของเราขับแท๊กซี่ รับผู้โดยสาร 3คน (ภายหลังทั้งสามคนถูกส่งไป Guantanamo Bay เพื่อพิสูจน์ว่ากองทัพไม่ได้จับแพะ ในกรณีการตายของ Dilwar ทั้งๆที่ภายหลังการสอบสวนจะยืนยันว่าพวกเค้าบริสุทธิ์) และไปโดนจับ ถูกข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถูกส่งไป Bagram หลังจากนั้น 5 วัน Dilwar ก็ตาย ในสภาพรอยช้ำทั้งตัว ชัดๆก้อที่ขา ในใบมรณบัตรทางการแจ้งว่า ฆาตกรรม ครับมิผิด เค้ายอมรับ แต่เฉพาะในใบนะครับ แต่เรื่องมันแปลกเพราะก่อนหน้านี้ไม่ถึง อาทิตย์มี นักโทษอีกคนตายเช่นกัน และแน่นอนในสภาพเดียวกัน ทางบ้านพ่อหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ลูกชายหรือน้องชายหรือสามีหรือพ่อ ตายด้วยเหตุใด เพราะอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ช่ายครับใบมรณบัตรเป็นอังกฤษ แต่ส่งให้คน อาฟกัน บ้านนอกอ่าน แต่อีกอันที่แปลกคือ ทางการพิมพ์ใน หนังสือแจ้งข่าวรายวัน ว่าตายตามธรรมชาติ (เหมือนบ้านเรานิดหน่อย)

เรื่องมาแดงเอาเมื่อ Capt. Wood (หญิงด้วยนะครับ ย้ำ) หน.สอบสวนที่ Bagram ถูกย้ายไป Abu Ghraib พร้อมทีมงานแล้วดันมีภาพการทรมานหลุดออกมา รูปที่เห็นคือ นักโทษถูกจับแก้ผ้าสวมถุงดำคลุมหัว ล่ามด้วยโซ่ที่คอเหมือนหมา โดยมีภาพ Capt. Wood ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ Colin Powell ส่งคุณ Lawrence Wilkerson ไปสอบสวนดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งแกให้สัมภาษณ์ กับคนทำสารคดีว่า มีคนตายใน Abu Ghraib 98คน ภายหลังการสัมภาษณ์ นี้เพิ่มเป็น 105คน 25คนแจ้งว่าเป็นฆาตกรรม ภายหลังการสัมภาษณ์ นี้เพิ่มเป็น 37คน

หลังจากนั้น นักข่าว Carlotta Gall / Tim Golden [New York Time Reporter] เริ่มทำการสอบสวนในกรณี Bagram และแน่นอน กรณีหนุ่มDilwar ด้วย หลังข่าวแพร่ออกไป ทั้งใน นสพ. และนิตรสาร time กองทัพจึงเริ่มสอบสวน และแจ้งข้อหา ทหารที่มีส่วนในกรณี สอบสวน Dilwar(แต่ผมแปลกใจที่ ยาย Capt. Wood รอดแล้วไปเป็นครูสอนวิชาสอบสวนต่อ)....หลังจากนั้น สารคดีนำสืบต่อไปว่า ขั้นตอนการทรมานนี้มาได้ยังไง ในตอนสุดท้ายถึงเฉลยว่า เป็นคู่มือการสอบสวนของซีไอเอ ครับมิผิด เป็นคู่มือที่ประกอบด้วยขั้นตอน และการยกตัวอย่าง ที่ถูกเสนอและแนะนำโดย John Yoo, Alberto Gonzales เซ็นต์อนุมัติโดย Donald Rumsfeld

ขั้นตอนจะเริ่มตั้งแต่รับนักโทษมาแล้วต้องทำยังไง เช่นในกรณีที่ Bagram ซึ่งนำมาใช้หลังกรณี Guantanamo Bay คือ ใส่ผ้าคลุมหัว, เปิดเพลงเสียงให้ดัง, บังคับให้นักโทษยืนและล่ามโซ่, บังคับไม่ให้นักโทษนอน (นอนแค่วันละ4ชม. เริ่มตั้งแต่วันแรกเลย), จับนักโทษแก้ผ้า, บังคับให้นักโทษช่วยตัวเองให้ดูต่อหน้าผู้คุมหญิง (กรณีนี้คือทำให้อับอาย เพราะมุสลิมจะเคร่งมาก), ให้หมาเห่าใส่ต่อหน้า(เพื่อให้กลัว), ช็อคไฟที่ลูกอัณฑะและตามตัว(เหมือนใน 24)(ที่แปลกอีกอันคือเมื่อมีการคุยกับ John Yoo ว่าการบีบไข่นี่ไม่เรียกว่าทรมานหรือและประธานาธิบดีสามารถสั่งได้หรือ John Yooตอบว่า ไม่เรียกทรมานและสั่งได้), จับขังเดี่ยวในลังไม้, เตะขาหรือตีที่ไต และอีกมากมาย ผมว่า ทำขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จำนวนผู้ก่อการร้ายจะเพิ่มขึ้น แค่เอารูปพวกนี้ให้คนใหม่ๆดูว่า เห้ยเอาระเบิดไปบอมบ์ พวกลุงแซมเลย เพราะมันทำยังงี้
กับพี่น้องเรา หรือ คนไม่ได้เป็นเข้าไปแล้วคงเป็นผู้ก่อการร้ายแน่นอน ..... อีกอย่างรู้ไหมครับเทคนิคสอบสวนเหล่านี้ทำวิจัยกันมาก่อนในมหาลัยดัง ในแคนนาดาด้วย

เคยมีรุ่นน้องคนหนึ่งถามผมว่า ทำไมเราต้องรู้ประวัติศาสตร์ ก้อในเมื่อมันผ่านมานานแล้วอ่ะ ประมาณว่ารู้ไปก้อทำไรไม่ได้ ประโยคนี้คงใช้กับเหล่าผู้สอบสวนในกรณีนี้ไม่ได้ สารคดีเปิดเผยว่ามีการใช้เทคนิคในสมัยกลางอันหนึ่งในการรีดคำตอบจาก เชลยที่จับมาได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้ Colin Powell ไปเสนอบุกยึดอิรัก เทคนิคนั้นคือ ตรึงแขนตรึงขา แล้วกรอกน้ำลงปากนักโทษไปเรื่อยๆจนใกล้ตายเพราะขาดอากาศ แล้วถามคำถาม ถามจริงๆใครมันจะไม่ตอบตามที่คนถามอยากรู้

อันนี้เป็นโชน 1 มีชับไตเติลเรียบร้อย น่าดูมากๆ เห็นภาพและเข้าใจ ว่าทำไมคนถึงสนับสนุนเรื่องพวกนี้ไปไกลขนาดนี้ เพียงเพราะ 11กันยา หรือทำไมคนอีกพวกถึงต่อต้านการกระทำอย่างนี้อย่างมากมาย
และเห็นภาพของเหยื่ออีกด้านที่อเมริกันชนบางคนไม่เห็นและเห็นทัศนะนักการเมืองและ.....อะไรบางอย่างในใจเรายามดูเสร็จ

The god who wasn't there


The god who wasn't there
Brian Flemming

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Nov 9 2008, 09:00 PM

เชื่อกันว่า ศาสนาที่สำคัญสุดๆในโลก 2 ศาสนา อาจมีที่มาจากที่ๆเดียวกัน หรือมีพระเจ้าองค์เดียวกัน หรือ หนักกว่านั้น พระเจ้าองค์นั้นยังเชื่อมโยงกลับไปหา ศาสนาและลัทธิอื่นๆที่มีมาก่อนหน้าไปอีกเป็นพันปี

แล้วทำไม 2 ศาสนาที่ว่า ถึงฆ่ากันจะเป็นจะตาย (อย่างว่าในไทยยังเคยมีพระเทศน์ว่าฆ่า คอม ไม่บาป หนักก่านั้นให้เลือกข้างแล้วฆ่ากันไปเลย) ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ศาสนาหนึ่งรุนแรง หรืออีกศาสนาหนึ่งงมงายจนยึดติด (อย่างว่า พระไทยก้อยึดติด ทั้งเรื่องศาสนสถานที่แข่งกันเป็นบ้าเป็นหลัง หรือเรื่องเพี้ยนๆอีกหลายๆเรื่อง) แต่มันอยู่ที่การตีความของ คนที่เดินต่อๆกันมามากกว่า เพราะทุกศาสนาสอนให้เราหลุดพ้นไปจากกรอบที่ปิดกั้นเรา ซึ่งถ้าเราศึกษาดีๆจะพบความหมายที่คล้ายๆกัน ในศาสนาหลักๆในโลก (แม้กระทั่งนิกายตันตระ ที่เน้นการเล่นกับกิเลส ให้หนัก ก้อเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และเห็นธาตุแท้ ของเรื่องเพศ หรือเรื่องของมึนเมานั้นเป็นมายา ...แต่ คนไม่ค่อยคิดกันในแง่นี้)

กรอบที่คนยึดติดคืออะไร..... อะไรที่เป็นไปตามบุ๊ค เค้าว่าถูก เช่น สารคดีเริ่มต้นด้วยว่า แต่ก่อนคริสต์เชื่อกันว่าพระอาทิตย์หมุน รอบโลก แล้วต่อมา เราถึงรู้ว่ามันไม่จริง...สารคดีตั้งคำถามต่อว่า แล้วงั้นยังจะมีอะไรอีกที่อาจผิดพลาดได้....นั่นคือการเดินตามแบบแน่นอนไม่ได้หมายความว่าถูก......ต้องใช้สติด้วย

สารคดีเริ่มตั้งคำถามต่อไปถึงยุคแรกของคริสต์ หรือประมาณ 1 ร้อยปีแรก / ประมาณ 33 ปีแรก นั่นคือชีวิตของพระคริสต์ / ประมาณปีที่ 70 กว่าๆ เป็นการเริ่มต้นของกอสเปล มาร์ก / ช่วงกลางประมาณปีที่ 50 เป็นเรื่องของปอลระหว่างทางไปดามัสกัส ....รายละเอียดคงต้องดูต่อในสารคดี เพราะมันจะเริ่ม ลงรายละเอียดมากขึ้น (แต่นั่นแหละ เป็นความเห็นส่วนตัว) สารคดีเริ่มมาชี้ถึงช่องว่าง ที่หายไปของเวลาประมาณ 40 ปี ระหว่างหลังจากพระคริสต์ละโลกกลับสวรรค์ กับช่วงที่ปอลไปดามัสกัส สารคดีถามว่าระยะเวลาที่ห่างขนาดนั้น แล้วเรารู้ได้ไง ว่าทุกสิ่งที่มาจดกันภายหลังเป็นเรื่องจริง

สารคดีเริ่มต่อไปด้วยการคุยกับ ศาสนิกชนที่ดี เรื่องพระศาสดา ซึ่งแน่นอนมันก้อควรมีแต่เรื่องที่ดีงาม ทำให้ใจผ่องแผ้ว จริงๆ ก้อทุกศาสนานั่นแหละ ....แต่ส่วนที่พลิกลำ ก้อมีการยกตัวอย่างพวกที่อ้างพระเจ้าแต่เพี้ยนๆกันบ้าง เช่น ชาร์ล แมนสัน หรือ ฉายาว่า จีซัส ไครต์ ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ สาวกฆ่าคนไป 17 คน, หรือ แม่ที่เป็นพวกคลั่งศาสนา ตัดแขนลูกของตัวเอง เพื่อพระเจ้า หรือ นักเทศน์รุ่นใหม่ ที่แนะให้คนไป วางระเบิดที่ทำการรัฐ.......คนเหล่านี้อ้างพระเจ้า ทั้งในเรื่องแย่ๆและเรื่องดีๆ......แน่นอนไม่มีใครรู้ว่าทำไม ในกรณีคนแย่ๆ

สารคดีนี้มุ่งค้นหาและแย้งเรื่องอีกมุมหนึ่ง จากหลายๆคน และบางคน เราจะรู้เลยว่าเรื่องของความเชื่อ ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ลองไปดูไอเดียของ ดอกเตอร์ ที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่สารคดีนี้ไปสัมภาษณ์ ก้อได้ หรือบางคน พูดเหมือนกับว่า ยกย่องความชอบธรรมในการถล่มอิรัก เพราะประเด็นศาสนา ในแง่นี้ อ้างไบเบิล....และในอีกหลายกรณี ตอนท้ายๆ ท่านจะต้องตกใจ บางเรื่อง ว่า..มันมีงี้ด้วยเหรอ

สารคดีเองยาวประมาณ 1 ชม. บวก อ๊อฟชั่นพิเศษ สัมภาษณ์ เพิ่มอีกประมาณ 1 ชม. อย่างแรกผมชอบหน้าปกนะ เป็นรูป พระคริสต์ ศิลปะไบแซนไทน์ ที่ประกอบจากรูปย่อยๆ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นรูปลักษณ์แรกๆ ของพระคริสต์ เพราะศาสนาพึ่งลงหลักปักฐานแน่นอนในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ของไบแซนไทน์หน้าจะออก แขกๆนิด

อีกอย่างที่ชอบ เพลงประกอบครับเพราะดี ยิ่งเอามาเปิด แล้ว โชว์หน้า ชาร์ล แมนสัน นี่แบบ เสียวๆเลย...อันนี้เป็น โซน 1 ไม่มี ซับ ดูยากเล็กน้อย แต่ถ้ามีฐานเรื่องศาสนามาบ้าง น่าจะ เข้าถึงได้เร็วกว่านี้อีก คือ ผมเอง งงในบางจุดเลยต้องดูซ้ำ แต่อย่างไรก้อตาม ถ้าบางท่านรับไม่ได้ กรณี ดาวินชี โคด ก้อไม่ควรดู สารคดีนี้ครับ

This film is not yet rated


This film is not yet rated
by Kirby Dick

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Oct 31 2008, 08:43 PM

ว่ากันว่า ธุรกิจบันเทิงคือธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลและลึกลับวงการหนึ่ง บริษัทยักษ์ใหญ่หรือสตูดิโอขนาดใหญ่ในฮอลลี่วู้ด ประมาณ 6 สตูดิโอ ถือส่วนแบ่งในวงการหนังอเมริกาถึงประมาณ 90-95 เปอร์เซ้นต์ สิ่งนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง แน่นอน ผลประโยชน์มาก ความขัดแย้งย่อมสูง คนที่เข้ามาจัดระเบียบหรือจัดเรตของหนัง ก้อย่อมสำคัญและถือครองผลประโยชน์มหาศาล เพราะอะไรจริงๆถามว่าจัดเรตมีผลอะไรไหม พวกประธานบอกไม่เกี่ยว แต่ คนอื่นว่าเกี่ยว อาจทำให้รายได้แตกต่างกันเป็นล้านๆดอลล่าห์ ในกรณี โดนจัดเรต ระหว่าง R กับ NC-17 เหตุหนึ่งก้อเพราะ ร้านวิดีโอใช้เช่ารายใหญ่ ไม่วางหนัง เรต NC-17

คำถามตามมา เราสามารถ ดูรายละเอียดหรือสอบถาม หรือล่วงรู้ชื่อ คณะจัดเรต หรือ เกณฑ์ในการพิจารณาได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ จริงๆแล้ว บางคนบอกว่า องค์กรนี้ลึกลับพอๆกับ ซีไอเอ นั่นคือแกนของสารคดี เริ่มด้วยการคุยกับผู้กำกับบางคน แล้วต่อด้วยการ ตั้งคำถามว่า ถ้างั้น เราไม่อยากรู้หรือว่าเค้าเหล่านั้นเป็นใคร
ผู้กำกับ จ้างนักสืบ ตามสืบครับ จริงๆตอนดูตัวอย่างแรกๆ ผมล่ะโคดสงสัย ทำมาย มีผู้หญิงวัยกลางคนเยอะจัง หมายถึงในองค์กรที่จัดเรตอ่ะ

สารคดีนี้ว่าด้วยเรื่องการ เซ็นเซอร์ในอเมริกา ซึ่งองค์กรที่ดูแล เรียกว่า MPAA มีการ แจกแจงรายละเอียดประวัติความเป็นมาด้วย สารคดีเริ่มต้น เพื่อความฮาของเราและให้ความรู้ขั้นต้นว่าด้วยการจัดเรต
G - คือหนังทั่วไปพวกการ์ตูน ไม่มีการใช้ยาโชว์ ไม่มีเรื่องเพศ
PG - อาจมีได้พวกคำว่า shit / ass อารายเทือกนั้น หรืออาจจะโชว์ตูด หรือเตะก้นกัน คือหยาบแต่พองาม
PG-13 - คำเริ่มแรงขึ้น พวกคำเสริมของคำว่า shit เช่น shit head / dumb shit และให้มีการใช้ fuck ได้ทีเดียว และห้ามใช้ในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์
R - พวกฉากรุนแรงขึ้น ทางเพศรุนแรงขึ้น ประมาณนั้น
NC-17 or X - ไม่ต้องบรรยาย เหอๆ

จริงแล้วๆ ถามว่าเสรีภาพในการนำเสนอ บางอันผมออกจะงงๆ อาจเพราะสังคมก้อเป็นได้ ประมาณว่า อ๋อแบบนี้เหรอที่เพ่ว่า ไม่น่าจัดเป็นเรต NC-17 แบบนี้บ้านผมว่า ดีกว่าหนังโป๊นิดนึงเองนะ เหอๆ แต่ก่อนเคยนึกถึงตอน คุณหนูบอย ออกมาแย้งเรื่องจัดเรตละครแล้วพูดอันหนึ่งว่า ละครแบบตบตีกันเนี่ยดี เด็กจะได้เรียนรู้ เรื่องสังคมฉะนั้นการจัดเรตเป็นการจำกัดสิทธิ์เสรีภาพของเด็กในการเข้าถึงข้อมูลที่คุณหนูบอยว่าดี คือกรูจะบ้าตาย เหอๆ เกี่ยวไหมเนี่ย แค่ชุด คุณอั้ม เดกเล็กก้อเลียนแบบกันไปครึ่งเมืองแล้ว เหอๆ โทดทีนะ บางคนแบบ เดกมากเกินไปจนไม่มีแม้กระทั่งสัญลักษณ์เพศหญิงขึ้นก้อเริ่มใส่แล้ว

แต่ในแง่สารคดีสงครามอิรักที่โดนR อันนี้ผมว่า อันนี้เกินไปนิด เพราะมันเรื่องจริงนิ เราจะไปคุมคำพูดกับอารมณ์คนในพื้นที่ได้อย่างไร

อีกอันที่น่าสนใจ และสารคดีชุดนี้เอามาเปรียบเทียบกันแบบ ฉากต่อฉาก หุหุหุ คือเรื่อง คนทำหนังรายเล็กกับสตูดิโอใหญ่ และระหว่าง หนังเกย์ กับหนังธรรมดา ไม่เชื่อก้อต้องเชื่อ เทียบกันแล้วเหมือนกันทุกอย่าง แต่การจัดเรตต่างกันแล้ว คือมัน สองมาตรฐานจริงๆ คนที่ทำ south park บอกเลยว่า ต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนทำ อินดี้ mpaa แทบไม่บอกอารายเลย แต่พออยู่สตูดิโอ บอกละเอียดยิบ

อีกอันที่น่าสนใจคือกรรมการให้เรื่องเพศมาแรงกว่าเรื่องความรุนแรง แบบยิงกันหัวกระจุย บางทีได้แต่เรต pg-13 หรืออย่าง หนังเจมส์บอนด์ ได้เรต PG-13 แต่หนังบางอันให้กำลังใจแก่เดกมากก่า มีฉากที่ไม่เห็นเนื้อหนัง โดนเรต r

ตัวอดีตประธานmpaa เดี๋ยวนี้เป็นล๊อบบี้ยีต ใน วอชิงตัน กับ เป็นตัวไฟท์ให้เกิดเรื่องกฎหมายลิขลิทธิ์ที่เราเห็นในหนังแผ่นตอนต้นอ่ะ อันนี้ก้อพึ่งรู้นะ ตามกฏหมาย ถ้าท่านทำเค้กวันเกิดเป็นรูปมิกกี้เมาส์ ขาย ท่านจะโดนจำคุก 5 ปี และโดนปรับอีก 150,000 ดอลล่าห์ และอีกหลายกรณี บางอันโคดๆเลย

ช่วงท้ายๆ ก้อจะเริ่มเห็นอารายมากขึ้นถือว่าเป็นไฮไลท์เลยล่ะ มันส์มาก แล้วท่านจะเริ่มถึงแก่น เมื่อผู้กำกับท่านนี้นำสารคดีเรื่องนี้ไปให้ mpaa จัดเรต เหอๆ และแน่นอนว่า สารคดีนี้บรรจุ ภาพ การสืบสวนหาตัวกรรมการจัดเรต ด้วยนะ คิดดูว่าพวกนี้จะรู้สึกกันยังไง เหอๆ

อันนี้โซน 1 ไม่มี sub ดูยากเล็กน้อยแต่ไม่ยากเกินไป

All The Invisible Children - แด่หัวใจ...ที่ไร้ตัวตน


All The Invisible Children - แด่หัวใจ...ที่ไร้ตัวตน

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Sep 29 2008, 10:18 PM

โครงการหนังสั้นจากหลากผู้กำกับชั้นแนวหน้า โดยการสนับสนุนของ unicef และ wfp 2 องค์กรของสหประชาชาติ (ชื่อแรกคือผู้กำกับ ชื่อต่อมาคือชื่อหนัง)
Mehdi Charef - Tanza
Emir Kusturica - Blue Gypsy
Spike Lee - Jesus Children of America
Katia Lund - Bilu e Joao
Jordan Scott & Ridley Scott - Jonathan
Stefano Veneruso - Ciro
John Woo - Song Song and Little Cat

หนังทุกเรื่องแสดงปัญหาและแนวทางกลายๆของเด็กในปัจจุบัน ไม่ว่าเด็ก ฐานะใด การศึกษาใด เจอได้ทุกคน
ดูแล้วอาจเห็นเด็กคนนั้นในอดีตของเราเอง หรือเพื่อนของเรา หรือ คนที่เคยผ่านตาเราไป เพราะความจริงแล้ว เหตุการ์ณมันเหมือนกันที่ concept และผลแค่วิธีการที่ไม่เหมือนเฉยๆ จริงๆ เราคงไม่สามารถปฏิเสธว่าเรา ซื่อและอ่อนเยาว์ต่อโลก โดยไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยมีส่วนร่วมได้

Tanza เรื่องแรก ทหารเด็กนี่ผม นึกถึงเพื่อนคนนึง(ถูกยิงตายแต่เด็กเหมือนกัน) และสถานการณ์ในปัจจุบันเลย ความรุนแรงไม่เคยเข้าใครออกใคร ทหารเด็กไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หากเรามองในแง่ของความรุนแรงของเด็กปัจจุบัน ที่โดนผู้ใหญ่หลอก ไม่ว่าจะเรื่องผลประโยชน์ หรือ ชาตินิยม ในทุกที่ มีทหารเด็กในรูปแบบต่างๆมากมาย ผู้ใหญ่ไม่เคยถาม หรือ แม้กระทั่งเด็กบางคนก้อไม่เคยตั้งคำถามว่าที่ทำไปอ่ะ มันได้ผลอะไร ต้องลองเข้าไปอยู่ในวงนั้น แล้วค่อยๆคิด จนออกมาเองได้ หากขยายผลไปอีก ทหารเด็ก สะท้อนถึง แม้กระทั่ง สงครามทางการศึกษาเช่นกัน เพียงแต่ ความรุนแรงแบบเรียบง่าย ทำให้เราเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น

Blue Gypsy - ตลกร้าย คือขำแบบร้ายๆนิดหน่อย แต่อย่างว่า ในฉากที่ประเทศที่ผ่านสงคราม อย่างบอสเนีย บางครั้ง ความขำเลยมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึง (ปล.ไม่โทษพ่อแม่ของเด็กคนนี้นะแต่บางทีก็เกินรับได้จริงๆ) เด็กในที่แบบนี้สถานการณ์อย่างนี้แหละที่ ทางออกจะมาในรูปแบบประหลาดๆ

Jesus Children of America - ผมว่า กำลังจะกลายเป็นปัญหาสามัญประจำบ้านในเร็ววัน เมื่อทั้งพ่อและแม่ ติดเอดส์ และเด็กมีปัญหากับเพื่อนปากกระโถน / เด็กเหมือนโดนโดดเดี่ยวทางอ้อม ไร้ทางออก

Bilu e Joao - น่ารักดี อย่างน้อยในแง่ผู้ใหญ่ช่วยเด็ก เล็กๆน้อยๆ อีกอย่าง บราซิลมีปัญหาเด็ก ที่ผมว่าโคม่า ประเทศหนึ่งในโลก / เด็กจรจัดที่นี่แกร่งมากๆ เกินอายุ แต่บางครั้งเราอาจเห็นภาพสะท้อนจาก กรุง ริโอ เดอ จาไนโร มาสู่กรุงเทพ ได้ง่ายๆ เพียงแค่หลับตาแล้วค่อยๆลืมตาช้าๆมองหาตามสี่แยก

Jonathan - ว่ากันในเรื่องผู้ใหญ่ในคราบเด็ก แบบ ลอยๆดีครับ น่าจะลอยที่สุดแล้ว (สงครามอีกแล้ว)

Ciro - หนังจากอิตาลี ว่ากันด้วยเด็กหัวขโมยเมืองเนเปิล เมืองที่มีคนจนอยู่กันเป็นจำนวนมากและแน่นอนปัญหาท่วมๆ / เดี๋ยวนี้ บ้านเรากำลังจะตามสถานการณ์นี้ไปไม่ช้า เมื่อพ่อแม่วุฒิภาวะน้อยออกอาละวาด ให้กำเนิดลูกๆตัวน้อย ปัญหาท่วมตามมา

Song Song and Little Cat - ผมว่าลึกนะ ดูโหดดี แต่โลกก็เป็นแบบนี้มิใช่หรือ แถมผมรู้สึกใกล้ตัวดีมากๆ คือถ้าไม่บอกว่าเมืองจีน สถานที่หรือ สถานการณ์ ก็ดูไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่นัก

สรุปว่าในทุกๆเรื่องเราจะเห็นเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตปกติของเรา และ ของเขา ถ้าไม่ปิดตัวเองมากเกินไป จะเห็นความคล้ายในหลายสถานการ์ณ ขึ้นอยู่ว่าเรามองจากมุมใด นานๆจะมีหนังดี ราคาถูกออกมาซะที เหอๆ อันนี้เจอที่แมงป่อง สนนราคา น่ารัก 189 เท่านั้น เหอๆ

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

F * * K


F * * K
think film
approx 90 min.
directed by Steve Anderson

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Sep 13 2008, 11:38 PM

เริ่มต้น กันด้วยคำจากไบเบิล กันเลย
" in the beginning....was the word " john 1 - 1

สารคดีนี้มีความพิเศษและความขำมากๆปนอยู่ ดูได้เพลินที่สุดตั้งแต่ดูมา คำถามคือว่า วัฒนธรรมในการพูด f - word หรือ คำหยาบ มาจากไหน, อย่างไร และอยู่ในบริบทใดในสังคมตะวันตก ... ผมว่าน่าสนใจนะ แต่ของไทยคงจะทำยากหน่อย ปล. อันนี้มีแต่ โซน 1 และไม่มีซับครับ แต่ ศัพท์ไม่ยาก และพูดค่อนข้างชัดเจนพอควร

การดำเนินเรื่องของสารคดี เป็นการตั้งคำถาม แล้วถามแขกที่มาแจม เช่น
- pat boone (นักร้องเพลงเก่าแล้วล่ะ) อันหนึ่งเกี่ยวกับเขาที่ผมชอบคือ แกบอกว่าแกเปลี่ยนคำหยาบให้เป็นชื่อแกแทน เหอๆ ลองออกเสียงตามดูดิ booneeeee, drew carey อันนี้หลายคนน่าจะรู้จัก เป็นดาราตลก, billy connolly ดาราตลกเหมือนกัน ต้องเห็นหน้าอ่ะ เพราะเคยเล่นหนังด้วย แสดงความเห็นเรื่อง fuck off ได้มุมมอง, alanis morissette นักร้องเพลงร๊อคก็มาแจม หรือจะเป็นดาราหนังโป๊ ก้อมีนะคับ บวกกับ ฟุตเตจ ทั้งจากหนัง, ภาพเก่าๆ หรือ สารคดี ภาพข่าวที่เกี่ยวข้องต่างๆ และที่ เจ๋งจิงๆคือ ภาพการ์ตูนประกอบ เด็ดมาก สร้างโดย ผู้เข้าชิงออสการ์มาแล้วในสาขานี้ bill plympton

หลักในช่วงแรกๆ สารคดีนี้เน้นไปที่ ประวัติพื้นฐานเช่น
- ไม่มีใครรู้จริงๆว่า fuck มาจากไหน หรือใครเป็นคนสร้าง ลือกันไปต่างๆนานา
- fuck ไม่ใช่คำย่อ แต่สารคดีก้อลองยกมาคับมากมายจริงๆ เช่น Fornication Under The Court of The King ไม่แปลนะคับเหอๆ
- คำว่า fuck ปรากฏเป็นครั้งแรกในเอกสารปี 1475
- มีในดิกชั่นนารี่มาตั้งแต่ ศต.ที่16 อันนี้ตัวแทนจากดิก อ๊อกฟอร์ดว่ามา
- สมัยก่อน เขาเขียนว่า fug แทน
- พวกคำประกอบเช่น don't fuck with me, fuck around พึ่งมีสมัย ศต.ที่20 นี้เอง ส่วนใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงมา

สารคดีนี้ยังเน้นไปที่ หลัก free speech คือ เพื่อจะบอกว่า การพูดเพื่อแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเป็นสิทธิ์ที่พึ่งกระทำได้ อย่างกรณี ดิ๊ก เชนีย์ รองประธานาธิบดี โดนกรณีด่า วุฒิสมาชิกคนนึงว่า "fuck yourself" แล้ว คุณดิ๊ก ท่านอ้างว่าปล่าว แค่แสดง ความรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างแรงเท่านั้น เหอๆ ยิ่งดู pat boone เสนอให้ดิ๊กพูดนี่ผมว่าขำก่าแต่จริงๆ ชื่อแก นี่ก้อหยาบนะคับ เหอๆ ใช่ไหมอ่า พณ.ท่าน ดิ๊ก

คำนี้มีความพิเศษ จริงๆ รู้ไหมครับว่ามันเป็นได้ ทั้ง noun, adj, verb หรือ past tense, future tense ก้อได้

สารคดีนี้มี option แถมเรียกว่า fuck counter มาให้ด้วย มีการใช้มากกว่า 800 ครั้งในสารคดีชุดนี้ แล้วถ้ามันออกอากาศทางทีวี มันจะโดนปรับประมาณ 260 ล้านเหรียญสหรัฐ อันเป็นผลมาจากกฏหมายแบนคำหยาบ 7 คำ ของอเมริกา

ผมก้อพึ่งรู้ว่านักการเมือง อเมริกา พูดกันเยอะมากครับ พอๆกับ นายก และ พันธมิตรฯบ้านเรา นั่นหมายความว่าหยาบพอกัน หุหุหุ

สรุปแล้วคือมีรายละเอียดเยอะมากๆ แต่ดูสนุก ได้อารายเยอะกว่าที่คิด ฝากคำของ bob dylan ไว้ครับ
" Love is just a Four Letter Word "

Perfect Blue


Perfect Blue
Satoshi Kon's Animated Psychological Thriller

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Sep 8 2008, 11:11 PM

เรื่องของนักร้องสาวขวัญใจวัยรุ่น Mima Kirigoe ที่อยากจะก้าวไปเป็นนักแสดงแทน แต่หนทางในการเป็นนักแสดงช่างลำบาก
และแสนเปลืองตัว ทั้งผู้จัดการ ทั้งผู้ดูแล ต่างวิ่งหาบทและดูแลกันยกใหญ่ ดาราหน้าใหม่ในห้องเล็กๆเพราะยังไม่ดังจึงต้องหาทางทำทุกอย่าง แต่กระนั้น ก้อยังมีแฟนๆ กลุ่มหนึ่งที่ยังเหนียวแน่นกับเธอ เริ่มไม่พอใจในสิ่งที่เธอกระทำ การติดตาม, การฆาตกรรม โดย คนโรคจิต สุดท้าย เขาคือใครกัน

บอกตามตรงว่า น่ากลัวและตื้นเต้นมากๆ เด็กและคนขวัญอ่อนไม่ควรดู เพราะนี่ไม่ใช่การ์ตูนสำหรับเด็กเลย ฉากฆ่า และ ความหลอนในสไตล์ หนังฆาตกรโรคจิต บวกกับ โครงเรื่องที่ วิ่งกลับไปกลับมา จะทำให้ดูไม่รู้เบื่อ โครงเรื่องกระฉับ การดำเนินเรื่องและการตัดต่อ สุดยอด แต่ถ้าเป็นหนังจริงๆ อาจไม่ได้เท่านี้ก้อได้ จริงๆแล้วเรื่องนี้ มีดีกรี คล้าย basic instinct แต่ ซับซ้อน และโหดกว่ามาก นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำเป็นการ์ตูนจะดีกว่า

ตัวผู้กำกับเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเขา แต่หลายคนอาจเคยได้ดู ผลงานหลายชิ้นในบ้านเรา โดยเฉพาะ เรื่องล่าสุด Paprika (2007) ซึ่งมีขายทั่วไป จะรู้เลยว่า เรื่องเขาจะละเอียด รูปสวย เนื้อเรื่องแน่นมาก ส่วนใหญ่นำมาจากนิยายขายดี หรือพวกแนวสวยๆ Tokyo Godfathers ก้อน่าดูเช่นกัน ในเรื่องนี้ผมดูบทสัมภาษณ์ผู้กำกับ แล้วถึงกับ อึ้งเพราะละเอียดมาก ทั้งการเซ็ตฉาก การเลือกเฟอร์นิเจอร์ในห้องเพื่อกำหนดอารมณ์ของทั้งตัวเอก, ตัวรอง หรือตัวร้าย

หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้หน่อย ก้อต้องเปรียบกับ Studio Ghibli ถ้าติดตามจะรู้ว่า Studio Ghibli แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆตามอาจารย์ที่คุม เนื่อเรื่องจะแตกต่างกัน แต่สไตล์จะใกล้เคียงกัน ในกรณีนี้จะเหมือน Isao Takahata ที่เน้น แนวเนื้อเรื่องสมจริงแต่คงไว้ซึ่งภาพสวย

ถ้าชอบการ์ตูนตื้นเต้น เรื่องนี้เหมาะ หรือจะลองดูเรื่องอื่นของเขาก่อนก้อได้ แต่เรื่องนี้รับรองไม่ผิดหวัง

Lust Caution


Lust Caution
Drama / Romance / Thriller / War

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Sep 6 2008, 12:13 AM

Director - Ang Lee
Tony Leung Chiu Wai - Mr. Yee
Wei Tang - Wong Chia Chi / Mak Tai Tai
Joan Chen - Yee Tai Tai
Lee-Hom Wang - Kuang Yu Min


เรื่องนี้หลายคนคงได้ยินมาบ้าง ทั้งด้านที่เป็นหนังที่มีฉากร่วมรักที่สมจริงจน เพ่ หลิว ต้องออกมาติงว่าสงสัยทำไม เพื่อน เหลียงรับเล่น หรือข่าวที่ว่าทางการจีนแบนนางเอก ทัง เว่ย แต่ไม่แบน อั๊ง ลี่ อันนี้ ผมก้องง เหมือนกัน แต่ยอมรับว่า ทัง เว่ย เล่นได้เก่งเกินกว่าคำว่านักแสดงหน้าใหม่ ไม่ใช่เพราะการรับเล่นบท ที่มีภาพลักษณ์ด้านเพศเท่านั้น (เพราะเมืองไทยมีอย่างงี้เยอะเป็นร้อย แต่แสดงไม่ได้เรื่อง)แต่เป็นเพราะการแสดงที่เข้าถึงอย่างแท้จริง ทั้งสายตา หรือแม้กระทั่ง จังหวะถอนหายใจ ที่เป็นธรรมชาติและเข้ากับบทมาก (อาจดูเวอร์ แต่มันเป็นงั้นจริงๆ) ฉากหนึ่งที่ผมดูแล้วอึ้งมาก คือฉากร่วมรักที่รุนแรงฉากสุดท้าย ไม่ใช่แค่เพราะเป็นฉากเซ็กซีน แต่เพราะเป็นการแสดงที่ไร้ที่ติ จริงๆ จังหวะในการมองปืนที่หัวเตียง เป็นอะไรที่เข้ากับคำว่า "เซ็ก เพื่อ ชาติ" ได้เป็นอย่างดี เพราะมันทั้งเสียว และอันตราย ทั้งเคลิ้ม ทั้งรู้ตัว

เรื่องนี้ผมพอจะเรียกได้ว่า เป็นแบบหนังรัก ระหว่างรบแล้วกัน (เหตุเกิดในจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่2....แต่ก้ออาจจะเรียกว่าเซ็กส์ระหว่างรบก้อได้เหมือนกัน จริงๆในความหมายนี้อาจจะลึกซึ้ง และตรงประเด็นมากกว่าก้อได้นะผมคิดว่า) เพราะอย่างที่บอก มันแฝงความอันตราย และการถูกหลอกใช้แบบเด็กๆตลอดเวลา ลองดู ชื่อเรื่องซิครับ ตัณหาและความระวังระไว แบบที่ต้องรู้ตัวตลอด ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องจำพวกสายลับผู้หญิงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คงจะพอเห็นภาพครับ ว่าอันตรายและสำคัญขนาดไหน

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเด็กสาว คนหนึ่งที่ถูกหลอกให้มารับใช้ชาติ (เลือดรักชาติเข้มข้น) แบบปลอมๆกับกลุ่มเพื่อน ที่คิดว่าการเป็นสปายมันง่ายเหมือนการเล่นละคร, อีกทั้งเพื่อนชายที่หลงชอบ(ตัวตั้งตัวตี) ก้อดูจะไม่รู้เรื่องการเมืองจริงๆ หรือข้อมูลใดๆ แม้แต่น้อย การตัดสินใจต่างๆ อยู่บนการใช้อารมณ์ทั้งสิ้น การพูดจาก้อดู เลอะเทอะ หลอกทั้งตัวเองและเพื่อนๆ กว่าจะรู้ตัว เรื่องก้อไปไกลแล้ว ..... แน่นอนหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไป เด็กสาวก้อโตขึ้นตามเหตุการณ์ด้วย เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวขึ้น ความคิดเด่นกว่า จนเพื่อนชาย ยังงง

อีกด้านคือผู้ทรยศขายชาติ เพ่ เหลียงเล่นได้โดดเด่น เหมือนเคย จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า(คล้อยตามหลายคน) นี่แหละนักแสดงชายเอเชียอันดับหนึ่งเด่นกว่าทุกคนที่เคยดูมา ผมว่าแกตีบท แตกมาก ทั้งสายตา หรือแม้กระทั่ง ท่ายืน ท่ากระโดดเข้ารถ(ต้องลองดูแล้วจะเข้าใจว่าผมหมายถึงฉากไหน)

อั๊ง ลี่ ก้อ กำกับได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งมุมกล้อง หรือการจัดฉาก หรือ จังหวะของหนัง ยอมรับจริงๆว่า เดาฉากจบไม่ออกเลย จนถึงตอนจบนั่นแหละ ผมถึงรู้สึกว่านี่แหละใช่เลย

แต่ปัญหาอย่างหนึ่ง สำหรับผมคือ ภาษา เนื่องจากเรื่องนี้เป็น ภาษาจีน ทำให้ต้องอ่านซับตลอด ไม่ได้สังเกต สังกา อะไรในหนังได้มากนักแนะนำว่า ต้องหา เวอร์ชั่น nc 17 มาดู จะครบถ้วนกว่า ในแง่ว่า ถ้าอยากดูแต่ฉากโป๊ๆ นี่บอกได้เลยว่าสมจริง อย่างยิ่ง แต่ก้อเป็นเพราะไปตามหนังเองด้วยอีกอันอันที่น่าดูคือฉากที่สวยมาก และแน่นอน นักแสดง, ผู้กำกับระดับสุดยอดจริงๆ

The Illusionist


The Illusionist
Drama/Mystery/Romance/Thriller

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Aug 29 2008, 11:20 PM

Director - Neil Burger
นำแสดงโดย Edward Norton, Paul Giamatti and Jessica Bibel

สถานที่ เวียนนา อาณาจักร ออสเตรีย-ฮังการี
ตัวละคร
Eduard Abramovicz " Eisenheim The Illusionist "
นักมายากลที่โด่งดังด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา
Duchess Von Teschen " Sophie "
ผู้ซึ่งชะตาชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไป
Walter Uhl " Chief Inspector "
หัวหน้านักสืบผู้ถูกผู้คนทั่วไปว่าใกล้ชิดกับองค์รัชทายาท มากขนาด อาจจะได้เป็น นายกเทศมนตรีเวียนนาคนต่อไป
The Crown Prince Leopold
ผู้มีประวัติ ถึงขนาดโยนผู้หญิงลงจากระเบียงเพื่อปกปิดบาดแผลที่เกิดจาการถูกทำร้าย

โครงเรื่อง
ดอกฟ้ากับหมาวัดโดยแท้ หุหุ เป็นนักมายากล เหมือน The Prestige แต่ ต่างกันที่ความเป็นดรามา ที่มีดีกรีที่ต่างกัน
จริงๆเรื่องนี้ ถือว่าดูง่าย และไหลลื่นกว่าเรื่อง The Prestige มาก อาจเป็นเพราะ พล๊อตเรื่องที่ชัดเจนกว่าไม่ซับซ้อนมากก้อเป็นได้
แต่ด้วยความสามารถของนักแสดง และผู้กำกับ ก้อทำให้เรื่องสนุก และแปลกตา เป็นอย่างยิ่ง
โทนสีดี อีกทั้งฉากดี(เช่นฉากเข้าห้องรัชทายาท เป็นกลุ่มเขาสัตว์) มุมกล้องการเล่าเรื่อง หรือ การแต่งกายก้อถือว่ายอดเยี่ยมและงดงาม
ไม่อยากเล่ามากให้เสียอารมณ์ แต่ ตอนจบนี่ถือว่าใช้ได้ และหนังเอง ถือว่าดูสนุก ตลอดเรื่อง เห็นมีการนำมาฉายแล้วที่ ช่อง สตาร์
อันนี้ผมยังไม่เคยเห็นทำเป็น โซน 3 อาจติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ บางประการ

แถมด้วยประโยค หวานๆ บอกกล่าวโดยใครคงไม่ต้องเดา
i saw remarkable things but the only mystery i never solved was why my heart couldn't let go of you.

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

American Gangster


American Gangster
Crime / Drama

Director - Ridley Scott
Denzel Washington - Frank Lucas
Russell Crowe - Det. Richie Roberts

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Aug 26 2008, 08:22 AM

มาเฟียผิวดำ, ตำรวจขี้โกง และตำรวจตงฉิน 3ขั้วที่สู้กันเองไปมา คือโครงของหนังเรื่องนี้ หนังยังได้แสดง อีกว่า
โหดอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต่อการก้าวขึ้นมาใหญ่ สมอง และ บารมี สำคัญสุดๆเช่นกัน แต่สุดท้ายก้อนั่นแหละ แพ้ ตำรวจ เหอๆ

องค์ประกอบหลักที่ทำให้หนังน่าสนใจ ก้อมาจาก
ดารานำ ที่บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด ซึ่งจริงๆแล้ว เคยเล่นด้วยกันมาก่อน แต่เป็นการกลับบทบาท ซึ่งกันและกัน คือ
คนหนึ่งเปลี่ยนเป็นผู้ร้าย[Denzel Washington] คนหนึ่งเปลี่ยนเป็นตำรวจ[Russell Crowe] ผู้กำกับ ระดับไม่ธรรมดา[Ridley Scott] ผ่านงานระดับ สุดๆมามากมาย เช่น blade runner (มหาคำภีร์ สำหรับ คนเรียน สถาปัตย์ .. อันนี้
เจ้านายผมเค้าว่างั้น นะ) หรือ เรื่องล่าสุด ก้อ de je vu' , Glardiator เป็นต้น

และ ตัวละคร คือ ตัวเอกในเรื่องนี้ช่างมีเสน่ห์เสียนี่กระไร คืออันนี้ ผมเห็นด้วย กับผู้กำกับ คือตอนแรกผมก้อนึกว่า
อาจจะมีการเสริมบ้างแต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมคิดว่ามันเสริมเข้ามากลายเป็นตัวจริงทำด้วย ยิ่งเกิดความชอบขึ้นมานิดๆ
(อันนี้ผมซื้อแบบ 2แผ่นมา เป็น โซน 1 แต่เห็นตอนหลังมีออกเป็น แบบ 3 แผ่นออกมาด้วย ส่วนนี้จะอยู่ในส่วนแผ่นพิเศษ)
หรือ ตัวดี ก้อมีเสน่ห์ เหมือนกัน แต่ผมกลับรู้สึก ตัวร้าย นี่ มันช่างสมบูรณ์แบบ มากก่า

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ เจ้านาย Bumpy ผู้ซึ่ง Frank Lucas เป็นทั้งคนขับรถ, คนสนิท, คนทวงหนี้ และคนคุมกันให้เกิดตายลง
ทิ้งคำสอนที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้ frank คือ หลักของการตัดคนกลางออกในระบบธุรกิจ อีกทั้ง
เค้ายังได้เห็นอีกด้วยว่าคนส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความเคารพลูกพี่ เก่าเค้าพอเพียง
frank จึงต้องคิดทำอะไรซักอย่าง และสิ่งนั้น เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จากข่าวชิ้นหนึ่ง

อีกด้าน ตำรวจตงฉินผู้ ตั้งใจเรียนภาคค่ำไปด้วยเพื่อ ขยับวิทยฐานะตัวเอง Richie Roberts ได้ไปเจอกับ สิ่งที่ไม่ควรเจอ
ทำให้ความซวยมาเยือนจากความตรงไปตรงมา แต่ก้ออีกนั่นแหละ ทำให้เจ้านายเห็นคุณค่า เค้าขึ้นมาด้วย

ตำรวจชั่ว ผู้ซึ่งหากินกับการ จับยาเสพติดของมาเฟีย แล้วเอายาออกจากห้องหลักฐานมาผสมให้เจือจาง แล้วขายกลับไปให้มาเฟียอีกที

ความกระชับของเนื้อหา บวกด้วยความสมจริงเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง
กับมุมกล้องที่ให้อารมณ์แบบสุดๆ คือส่วนผสมของหนังแอคชั่นที่ดี ฉากยิงอาจจะน้อย แต่รุนแรงและตรงไปตรงมา เหมือนหนังผีที่ดีอาจจะแทบไม่ได้
เห็นผีเลยก้อได้

แถมประโยคเด็ด เล็กน้อย จากปากของ เพ่ frank

"The most important thing in business is honesty, integrity, hard work and family"

"Either you 're somebody, or you 're nobody"

Manufactured Landscapes


Manufactured Landscapes
by Edward Burtynsky
a film by Jennifer Baichwal

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Aug 14 2008, 11:06 PM

ในกระแสของหนังพวกสิ่งแวดล้อม ผมว่าเรื่องนี้ก้อเป็นเรื่องหนึ่ง ที่เล่าเรื่องด้วยภาพอย่างน่าสนใจ
ประมาณว่าความงามในการทำลายล้างของคนเรา
เนื่องจากว่า หนังเรื่องนี้เป็นการประกอบการบรรยายและการแสดงภาพถ่ายเป็นหลัก
โดยโลเคชั่นก้อเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นจีน มีอู่แยกซากเรือ แล้วก้อ ลานเก็บรถที่พึ่งผสิตเสร็จ
ซึ่งผมเดาว่าเม็กซิโก

หนังเริ่มต้นด้วยการถ่ายไปเรื่อยๆในกระบวนการผสิตในโรงงานแห่งหนึ่งในจีน
ซึ่งผสิตของค่อนข้างหลากหลายหนึ่งในนั้นคือ เตารีด ตอนเห็นสายพานการผสิตพานให้นึกถึงสายพานการผสิต ไก่สด

หนังแสดงสิ่งที่เราเรียกกันว่า landscape ที่คนสร้างขึ้นในที่นี้ความหมายรวมไปถึงสภาพการทำงานด้วย
มี2ช่วงที่แสดง ทักษะในการใช้มือประกอบผสิตภัณฑ์ พาน ให้นึกถึง คนงานแล่ปลาที่ผมเคยเห็น มือไวประมาณนี้เลย
เพราะเค้าคิดค่าแรงด้วยปริมาณ
หรืออีกอันหนึ่งแสดงให้เห็น กองขยะ it จำพวก ชิบต่างๆ ที่นำมารีไซเคิล ถ้ามีใครเคยเห็นหรือได้กลิ่น พวกที่
แอบ หลอมตะกั่วจาก แบ๊ตเตอร์รี่รถ จะรู้ทันทีว่ามันสุดๆ ขนาดไหน แต่ในหนังผมเห็นแต่ทุบๆกันนะ

คือสรุปว่า หากท่านเฉยๆกับ the 11th hour เพราะหนักบรรยายเหลือเกิน ก้อลองหาอันนี้มาดูครับ
ภาพสวยมากๆ

Lars And The Real Girl


Lars And The Real Girl
Directed by Craig Gillespie

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Jan 28 2009, 10:15 PM

ครั้งแรกที่รู้จักเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังตลก แบบขำไปเรื่อย คือด้วยชื่อเรื่องกับตัวอย่างหนังที่ดูผ่านๆตา คือทำนองว่า ผู้ชายคนหนึ่งที่ทุกคนมองกันว่า เป็นคนน่ารัก เงียบๆ แต่ดันไปชอบตุ๊กตายาง อันนี้หลายคนคงเคยได้รับเมลเวียน ที่มีรูปตุ๊กตาแบบเหมือนจริง ซึ่งเอาไว้ทำอะไรบ้าง หลายคนอาจจะรู้(หุหุ) ออกมาขาย ซึ่งมีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบฝรั่ง

แต่พอดูไป ผมพบว่านี่เป็นหนังที่ออก ดราม่าปนขำ หรืออาจจะเรียกว่าตลกร้าย ก้อได้ แต่ หลังจากดูเสร็จ ผมกลับเปลี่ยนใจว่านี่คือตลกที่กินใจสุดๆ แน่นอนผมถามตัวเองว่า ไอ้คำว่า หญิงจริง เนี่ย มันหมายถึงอะไร หรือจริงๆแล้ว มันคือความหมายใด ถ้ายกบางตอนมาจะเห็นว่า แต่ละคนก้อมองต่างออกไป เช่น ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า เค้าก้ออยากได้เหมือนกันผู้หญิงที่พูดไม่ได้ หรือ ผู้หญิงอีกคนว่า เพราะตุ๊กตามีอวัยวะผู้หญิงจึงถือเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผมชอบ ความเห็นของผู้หญิงแก่อีกคนที่ว่า ไม่มีผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีคนใดยอมเป็นทาสรับใช้ไปเรื่อยๆโดยไม่เคยมีปากเสียง คือทำนองว่า อย่ามองว่าเป็นอย่างตุ๊กตา

จริงๆแล้วในเรื่องนี้มีประโยคดีๆมากมาย คือ ต้นๆเรื่องๆอาจจะรู้สึกแปลกๆบ้าง หลังจากนั้น คุณจะเริ่มเห็นสิ่งที่ดีงามที่คนแวดล้อมกระทำต่อกัน คือ เรื่องประมาณ จิตหลอนหรืออาการทางจิตแบบแยกตัว ไม่สามารถแก้ไขได้คนเดียวหรือแค่ครอบครัว ซึ่งฉากที่อธิบายได้ดีก้อเป็นฉากที่ ครอบครัวมาขอร้องชุมชนให้ช่วยกัน เออไปหน่อย แบบช่วยๆกันตามน้ำ เรื่องที่ ลารส์ ชอบตุ๊กตายาง เพื่อที่ ลารส์จะได้ไม่รู้สึกแปลกแยกหนักขึ้นไปอีก มีคนในชุมชนว่ามันประหลาด แต่มีอีกคนว่า การที่บางคนแต่งตัวให้หมา แมว หรือ ชอบหยิบของเล็กๆน้อยๆ นั่นไม่เรียกว่าแปลกหรือ อึม.......ก้อน่าคิดนะ คำว่าแปลก ไร้สาระ อยู่ที่ว่า คุณมองจากด้านใด เช่นถ้าคุณชอบเลี้ยงงูพิษสักตัว คุณก้ออาจไปออก รายการแอนิเมลแพนเนต แต่ถ้ายุคกลางคุณ คือ แม่มดเลยล่ะ และแน่นอนโดนเผาทั้งเป็นแน่ ผมมองว่าเรื่องพวกนี้ เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสภาพสังคม หนังเรื่องนี้ทำให้เรามองย้อนบางอย่าง ถึงคนที่เห็นต่างในสังคม ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ประหลาด (ก้อคงยกเว้นบางกรณีที่หนักข้อไปได้เหมือนกัน)เหมือน อริสโตเติล เคยกล่าวว่า มนุษย์เป็นตุลาการที่เลวเมื่อต้องวินิจฉัยเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง ประมาณว่าคนอื่นประหลาดเสมอยกเว้นตัวเรา

อีกด้านหนึ่งนอกจากครอบครัวและชุมชนแล้ว อีกมุมของเรื่องคือ ผู้หญิงอีกท่าน ที่เข้ามาแข่งขันกับดารานำหญิงของเรา ผมหมายถึงผู้หญิงจริงๆอ่ะ น่าสนใจมาก และจุดเปลี่ยนก้อทำได้น่าสนใจ ส่วนหนึ่งเลยต้องยกความดีความชอบให้คนเขียนบท ที่เขียนได้ดีลงตัว ที่ว่าลงตัวอีกประการก้อเพราะผมชอบตอนจบมากๆ ตอนที่ บาทหลวงเทศน์ คือผมว่ามันสรุปได้หมดจดดีจริงๆ

ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้ ryan gosling ยอมรับว่านี่คือคลื่นลูกใหม่จริงๆ คือเล่นได้เด่นและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ประมาณว่ารู้ว่าจังหวะใดควรด้นสด และควร ด้นสดอย่างไร ผมเคยดูเค้าเล่นในบทนำ อยู่เรื่องเดียว คือเรื่อง Fracture เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สอง ส่วนมากก่อนหน้านั้นเห็นเล่นบทตัวประกอบ อยู่หลายเรื่อง น่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่ง (ปล.ผมเห็นในปกเคยได้รับการเสนอชื่อ ออสการ์ ปี 2006 ด้วย)

ส่วนดาราคนอื่น ก้อเล่นกันได้ดีทุกคน เหมาะกับบทกันอย่างยิ่ง ตัวละครอีกตัวที่ผมชอบ ก้อ บทหมอ (คนที่เล่นใน green mile) กับพี่สะใภ้ (ที่จำได้ก้อ match point หนัง วู้ดดี้ อเลน ที่ถ่ายตึกสวยๆมาด้วย) นี่ล่ะ ประทับใจครับ ยังไงคงต้องไปดูกัน

เรื่องนี้ผมเจอโดยบังเอิญ ในร้านขายดีวีดีทั่วๆไป ราคาก้อปกติ มีบรรยายไทยเรียบร้อย ขาดเพียงพากย์ไทย

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

THAKSIN - Second Expanded Edition

THAKSIN - Second Expanded Edition
Pasuk Phongpaichit
Chris Baker
Silkworm Books

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 9 2010, 07:28 PM
เป็นเพียงการเสนอภาพคร่าวๆแบบยังไม่ได้อ่าน

เล่มนี้คือเล่มที่ผมตั้งใจซื้ออีกเล่มหนึ่ง ชื่อชั้นของนักเขียนที่มีจุดเด่นเป็นนักวิจัย ทำให้ข้อมูลที่แน่นปึ๊ก คือจุดขาย แถมด้วยการตั้งโจทย์ และการมองประเด็น ก็แตกต่างและตรงไปตรงมาแบบน่าสนใจ โดนคนว่ามาแล้วทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ก่อนอื่นเลย เวลาคนบอกว่าคนนู้นคนนี้เป็นนักวิชาการค่ายนั้นค่ายนี้ ผมเองสนใจน้อยนะ ถ้ามันไม่เวรจริงๆ จนมีผลในงาน อย่างงาน เจิมศักดิ์ ผมสุดจะรับได้ อคติเยอะมาก จนไปบดบังสาระ งานเลยดูตลกมากกว่าจะเป็นงานวิชาการ นอกนั้นผมโอเค ถ้าจะมีประเด็นเรื่องฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนบ้าง ติดปลายนวม อันนั้นไม่ว่ากัน เพราะผมเชื่อว่า หากเราอ่านอย่างมีสติและรอบด้านพอ เราจะกรองออกได้เอง

เล่มนี้หน้าปก ผมชอบมาก เหอๆ ขออภัยใครก็ตามที่เป็นแฟน แม้ว ล่วงหน้าครับ คือคุณต้องยอมรับอันหนึ่งก่อนว่า แม้วมีหน้าตาที่เป็นไอคอนของทศวรรษนี้ในเมืองไทย สมบูรณ์แบบด้วยความยะโสโอหัง และกร้าวร้าว ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องปกติของนักการเมืองหรือคนที่เล่นการเมือง หากไม่มีความกร้าวร้าวบนใบหน้า ในบางโอกาสย่อมไม่ประสบความสำเร็จไปได้ เพียงแต่แม้วมีมากและมากยิ่งขึ้นในเทอมสองของเขา เพราะแม้วจะเน้นบ่อยมากเรื่อง ความเป็นนักการเมืองที่คนนิยมซึ่งไม่แปลก อีกคนที่กำลังหายใจรดต้นคอ คือ มาร์ค ขออภัยล่วงหน้าสำหรับแฟนๆ มาร์คเช่นกัน มาร์ค มีหน้าตาที่กวนสุดๆก็ตอนที่ประชุมกับ เสื้อแดง ซึ่งผมว่าไม่แปลก เพราะเมื่อคนเรามั่นใจอะไรสุดๆ มันจะแสดงออกมาที่หน้าตา การกระทำ และภาษากาย มาร์คก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แกทำหน้าตาดูถูกคน ยะโสโอหัง และกร้าวร้าว ได้ละม้ายคล้าย แม้วสมัยคุยกับนักเมืองฝ่ายตรงข้ามและนักข่าวมาก แม้ทั้งคู่จะพยายามสร้างภาพกันสุดๆทั้งคู่ แต่ด้วยความว่าแม้วอยู่นานกว่า เขาก็เลยเหมือนพวกนักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์วัยรุ่น ที่โว้ได้ทุกจังหวะ ส่วนมาร์ค ผมว่าหายใจรดต้นคอ เพราะอยู่แค่ไม่เท่าไหร่อาการ ออกซะแล้ว อำนาจ ครับผมว่า หรือ ดูสุริยะใส ก็ได้ แต่ก่อน หน้าจืดๆยังกับอะไร พอพูดก็หนักไปทางออกทะเล มั่วๆไม่มีคนฟัง ตอนนี้ครับ หนังคนละม้วน ความมั่นใจสุดๆ ถึงจุด peak ในชีวิตนักเตะนะผมว่า

อันนี้ว่าด้วยเรื่องหน้าปก เห็นแล้วร้องอ๋อเลยแหละครับ ว่าเข้าใจเลือกรูป มันอธิบายอะไรได้เยอะมากครับ ผมเห็นครั้งแรกนี่ ถึงกับยืนยิ้มคนเดียวที่หน้าบู้ท จนคนขายเขานึกว่าผมเป็นอะไร เหอๆ
เล่มนี้ค่อนข้างหนา ประมาณ 400 หน้า รูปน้อย ตัวหนังสือเยอะ แต่ละเอียดน่าสนใจกว่า หนังสือ พวก"รู้ทันทักษิณ" มากเพราะอันนั้นไม่รู้ทันหรอกครับเรียกว่าเข้าใจน่าจะเหมาะกว่า หรือพวกหนังสือแนวแฟชั่นวัยรุ่น พวกลับลวง พลาง หรือเจาะ ctx คือ ผมซื้อมันหมดล่ะ เลยว่าหนังสือพวกนี้ชวนเสียดายตังค์มากกว่า ข้อมูลไม่แน่นแถมไม่ได้ลึกมาก จินตนาการก็มากไปนิด เห็นปีนี้ หนังสือแนวๆนี้ ก็จะมีอีกเล่ม เรื่อง "แดงล้มเจ้า" ของค่ายมติชน ผมยืนอ่านคร่าวๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่ หรือชวนน่าสนใจมาก ถ้าใครตามจริงๆจะรู้ว่า ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้ มันมีปัจจัยหลายอย่างมาก อย่างดีก็เป็นพวกเกาะกระแส หรือพยายามหากิน ล่ะก็ใช่

อันนี้คำชมท้ายเล่มครับ
"The best account available in English of the Thasksin regime" - Kasian Tejapira
"A wonderful book - read it and gain insights that are simply not available anywhere else" - Kevin Hewison, Bangkok Post

คือจริงๆผมก็รู้จากการอ่าน คอลั่มหนึ่งใน Bangkok Post นั่นแหละครับ เหอๆ คือผมเองไม่ปฏิเสธว่า แม้ว แย่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นดี หรือดีกว่านะ หากลองเล่มนี้แค่สารบัญ คุณจะเห็นเลยว่า การเซ็ตบท นั้นแสดงให้เห็นปัญหาและที่ที่ไปของแม้วได้ชัดเจนมาก หากต้องการลงลึกๆ เล่มนี้น่าสนใจครับ