วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Winged Migration


Winged Migration
Academy award nominee best documentary feature 2002

Directors - Jacques Perrin, Jacques Cluzaud
Narration - Phillippe Labro

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Jun 7 2009, 06:39 PM

สารคดีเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นของนก ที่ใช้เวลาถ่ายทำ 4 ปี ใน 40 ประเทศ 7 ทวีป มีทีมงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 400 คน, นักบิน 17 คน และช่างภาพอีก 14 คน ใช้ทั้งเครื่องบิน, เฮลิคอปเตอร์, บอลลูน, พาราชู๊ต และเรือ เพื่อเก็บภาพที่จัดได้ว่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดและใกล้ชิดที่สุด สารคดีหนึ่งที่เคยสร้างกันมา ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยดู planet earth หรือ baraka จะเห็นได้ว่า พวกนี้ก็สุดยอด ยิ่ง baraka ที่ถ่ายแบบ 70 มม. แล้วพึ่งจะเอากลับมารีทัชใหม่แบบ 24 k แบบเฟรมต่อเฟรม ลง blu ray ยิ่งทำให้คุณภาพของภาพมีความโดดเด่นขึ้นไปอีก แต่สารคดีนี้ ก็เด่นที่มุมกล้องและการนำเสนอ ไม่แพ้สารคดีใดๆเลยเหมือนกัน

มุมกล้องส่วนใหญ่เป็นแบบซูมใกล้ และแบบ bird eye view จริงๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายจากด้านบนเท่านั้น แต่หมายถึงถ่ายในระดับเดียวกับนกเลย ถ้าดูจากเบื้องหลังการถ่ายทำจะเห็นว่าทีมงานตั้งใจกันมากๆ เริ่มตั้งแต่ที่ศูนย์เลี้ยงนกในแคนนาดา แล้วค่อยๆ สอนให้นกรู้จักผู้ฝึกและไว้ใจ ให้คุ้นเคยกับเสียงเครื่องยนต์และเสียงแตรสัญญาณ เพื่อให้นกชิน กันตั้งแต่เล็กๆ ทีมงานทุ่มเทขนาดว่า วิ่งด้วยกัน ว่ายน้ำด้วยกัน กับนกที่ฝึก ซึ่งจริงๆก็ควรต้องทำเพราะหากอยากได้มุมกล้องอย่างในสารคดีนี้ อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความไว้ใจและคุ้นเคยกันระหว่างคนกับนก

โดยนกที่ถ่ายทำนั้นครอบคลุมประเภทของนกอพยพและไม่อพยพ (ประเภทนกประจำถิ่นไม่ย้าย)ได้ค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ เป็ด, ห่าน, นกน้ำ, นกนางนวล, อัลบาทอล, การ์เน็ต, นกปากห่าง, กระเรียน, กระสา หรือแม้กระทั่ง นกแก้ว นกเพนกวิน และอื่นๆ แล้วแต่ละประเภทย้ายถิ่นกันทีเป็น พันๆไมล์ขึ้นไปทั้งนั้น (การอพยพ นกใช้ทั้งดาว, ดวงอาทิตย์, กระแสลม และ landmark เช่นปราสาท, โรงงานหรือทะเลสาบ ที่เหมือนบอกต่อๆโดยนกรุ่นพี่) บางประเภทเวลาอพยพแล้วน่าสงสารมากอย่างกับหนังชีวิตเลย ผ่านทั้งน้ำเน่า, อากาศเป็นพิษ (ต้องดูช๊อตที่ผ่านยุโรปตะวันออก นั่นดงโรงงานถ่านหินเลย) ทั้งคนจ้องดักยิง, ดักจับไปขาย ทั้งศัตรูตามธรรมชาติและไม่ธรรมชาติ

เปิดฉากมาใครจะคิดว่าหนังสารคดีอย่างนี้จะมี พระเอก หรือผู้ช่วยพระเอก แต่เรื่องนี้มี แล้วมันช่างทั้งน่าขันทั้งน่าเศร้า คือ พระเอกเป็น นกเป็ดน้ำ ผู้ช่วยพระเอกคือเด็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ว พระเอกของเรา ต้องพึ่งพาผู้ช่วยมากทีเดียว เหมือนจะบอกว่า มีแต่คนเท่านั้นที่อำนาจทั้งทำลายล้างและทั้งช่วยบำบัดทุกข์ ให้สัตว์อื่นๆ ต้องลองดูตอนที่เป็นนกแก้วในอเมซอน แล้วจะเห็นภาพมาก ภาพสีสรรของนกที่สวยงามตัดกับสถาพป่า ที่ในที่สุดสีสรรนั้นกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง แต่วิธีแก้ของนกน่ารักมาก แอบลุ้นไปโดยไม่รู้ตัว

ความหลากหลายของนกทำให้เกิดความหลากหลายในด้านพื้นที่ที่ถ่ายทำไปด้วยในตัว หลายๆพื้นที่ ทีมงานใช้วิธีถ่ายทำที่ทำให้ได้มุมกล้องที่เด่นมากๆ ตอนดูเบื้องหลัง มีฉากหนึ่งถ่ายแบบ กล้องจะทิ้งดิ่งตกลงมาตามหน้าผาเพื่อจับภาพนกทะเล (โดยมากนกทะเลชอบทำรังกันตามหน้าผาชัน ถ้าใครจำได้จากการดูพวกสารคดีสัตว์) คนบรรยายพูดถูกอย่างหนึ่งคือ นกนั้นไม่กลัวแรงดึงดูด แน่นอนเพราะนกมีโครงสร้างที่เบา (มีฉากหนึ่งเป็นลูกนกหัดบิน เพ่แกเล่นกระโดดลงจากหน้าผาลงทะเลเลย กล้ามากก เหอๆ) ฉะนั้นผู้ถ่ายทำจึงพยายามทำให้ได้เหมือน เหอๆ ดูโหดน่าดู แค่เฉพาะการติดตั้งกล้องเท่านั้นก็เสียวได้แล้วล่ะ

จากมุมกล้องให้ความรู้สึกดูแล้วเหมือนบินไปกับนกจริงๆ แม้จะเปลี่ยนประเภทของนกไปอย่างไร มุมกล้องและความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้หายไปด้วย ได้ความรู้สึกเป็นอิสระ เหมือนดังที่คนในอดีตใฝ่ฝัน อีกอย่างหนึ่งพึ่งได้มีโอกาส ดูสารคดีที่เป็นแต่เรื่องนกจริงๆครั้งแรก ตอนแรกคิดว่าจะน่าเบื่อรึเปล่า แต่ปรากฏว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งเทคนิคการถ่ายทำ หรือการเลือกประเภทของนก ก็ทำให้น่าดูมากขึ้น จริงอยู่ว่าบางประเภทเราอาจเคยผ่านตามาบ้าง เช่น วิธีวางไข่หรือเลี้ยงลูกของเพนกวินจักรพรรดิ์ แต่อันนี้ ให้มุมมองอีกอันค่อนข้างโหดดี เหมาะกับโลกอันโหดร้าย และอีกอย่าง จะให้ถ่ายแบบใหม่หมดจริงๆคงยาก สารคดีนั้นทั้งสร้างและมีออกมาแล้วมากมายแล้วจะให้ใหม่เอี่ยมคงยากจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม สารคดีเรื่องนี้ยังมีดีพอให้น่าจดจำ ในภาวะที่โลกเราเรียกร้องให้คนหันกลับมาใส่ใจสภาพแวดล้อมมากขึ้น ให้ใส่ใจเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น (มีทั้ง dvd และblu ray)

The Girl Who Leapt Through Time


The Girl Who Leapt Through Time
กระโดดจั้มพ์ทะลุข้ามเวลา
Drama / Romance / Science fiction

Director - Mamoru Hosoda
Writer - Yasutaka Tsutsui (original novel)
Satoko Okudera (screenplay)
Studio - Madhouse

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 14 2009, 09:39 PM

หนังย้อนเวลาแนวหวานนั้นมีหลายเรื่อง อาทิเช่น secret ที่เดินทางผ่านเปียโนโบราณ กับโน้ตเพลง หรือ เก่าหน่อย somewhere in time อันนั้นใช้นอนในสถานที่โบราณ แต่งกายก็โบราณแล้วตั้งใจสะกดจิตตัวเองให้ย้อนเวลากลับไปอดีต หรือจะ back to the future อันนั้นใช้เครื่อง แต่ไม่ค่อยหวานมาก หรือ il mare จะเข้าแนวด้วยหรือเปล่า ก็ยังลังเล แต่คิดว่าไม่เข้าเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวไม่ได้เดินทางไปด้วยมีเพียงติดต่อผ่านตัวเชื่อม / เพียงแต่เรื่องนี้ใช้การกระโดดของนางเอกเป็นวิธีย้อนเวลา ง่ายๆสั้นๆ ไปได้ทุกเมื่อ เพียงกระโดด ไปไกลมากก็กระโดดสูงมาก

การ์ตูน รายละเอียดภาพสูงและสวย หากจะบอกว่าชอบในครั้งแรกที่ดูหน้าปก ก็ไม่ผิด เนื่องว่าภาพมีรายละเอียดมากจริงอย่างที่บอก และเมื่อดูก็ไม่ผิดหวัง ภาพเคลื่อนไหวยังคงสวยเหมือนเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องของ 1 สาว (Makoto Konno) 2 หนุ่ม เพื่อนสนิท (Chiaki Mamiya, Kosuke Tsuda) ซึ่งทุกคนเป็นวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมของญี่ปุ่นทั่วๆไป โรงเรียนหนึ่ง ชีวิตดำเนินไป ดั่งเส้นตรงเป็นปกติ จนวันหนึ่งนางเอกไปพบกับเหตุการณ์ประหลาด ที่ทำให้เธอมีพลังในการย้อนเวลา ซึ่งเป็นการย้อนเวลาแบบไม่ธรรมดา ให้เรานึกภาพว่า เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปบนห้วงของเวลา ตัวเราเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งๆ หากเราเดินหน้าหรือย้อนหลัง เราควรจะต้องเจอกับตัวเราเอง แต่เรื่องนี้ไม่เจอ อาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงกฏทางฟิสิกส์ เรื่องอนุภาคปฏิปักษ์ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ(ทุกอนุภาคในเอกภพต้องผลิต อนุภาคและอนุภาคปฏิปักษ์ออกมาเพื่อหักล้างกัน เช่น ถ้าเราไปเจอคนที่เหมือนเราทุกอย่างแล้วเราไปแตะตัวเขา เราจะหายไปทันที เพราะเขาคืออนุภาคปฏิปักษ์ของเรา) แต่ไม่ใช่เอกภพคู่ขนานแน่ๆ นอกจากไม่เจอแล้ว เหมือนกับว่า ตัวเธอเข้าไปแทน ตัวเธอในห้วงเวลานั้นแบบสมบูรณ์ เรื่องจึงดำเนินต่อเนื่องไม่สะดุด เหมือนฉายหนัง แล้วย้อนกลับตัดต่อแล้วฉายต่อได้เลยประมาณนั้น

เมื่อข้อจำกัดบางอย่างหมดไป หนังจึงดำเนินได้แบบสุดๆมากขึ้น เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าทุกอย่างมันเดินหน้าถอยหลังง่ายๆ เราจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของเวลาหรือเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างไร จริงอยู่บางเรื่องบางเหตุการณ์ ถ้าดูบ่อยๆ ก็จะได้แง่มุมหลายแง่ขึ้น ได้เห็น ได้มีเวลาคิดมากขึ้น ไม่ด่วนได้เกินไป แต่บางอย่างก็ทำให้ลดคุณค่าได้เหมือนกัน ทำให้มันธรรมดาเกินไป เหมือนหลายเหตุการณ์ที่ มันจะประทับใจ หรือโหดร้ายที่สุด เมื่อครั้งแรกที่เราเจอ เช่นคงไม่มีใครอยากรักษารากฟันซ้ำไปซ้ำมาเป็น 10 รอบ เพื่อแค่ดูแง่มุมความเจ็บปวดกระมัง หรืออาจจะมี เหอๆ แต่ถ้าเป็นบางเรื่องล่ะ..........

ใจหนึ่งผมชอบ นางเอกเรื่องนี้เล็กๆในแง่ ดูท่าแกจะยังไม่เข้าช่วงวัยที่นับถือ ลัทธิใต้วงแขนขาว ผิวเรียบเนียน แม้วิ่งแทบเป็นบ้าเหงื่อยังไม่ออกสักหยอดให้ลำคาญใจขณะคุยกับหนุ่มรูปหล่อ หรือ หมกมุ่นกับการตกแต่งร่างกาย ที่มีเส้นแบ่งบางๆที่เรียกว่าความพอดี คั่นระหว่างความมั่นใจกับความอุบาทว์ แม้เด็กคนนี้จะออกห้าวนิดๆแต่ก็ยังมีความเป็นเพศหญิงสูง (ทั้งในแง่ห่วงหาอาทรหรือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแบบมากมาย) แม้ว่าเพื่อนชายที่แวดล้อมถือว่าเป็นระดับดาวโรงเรียน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยรู้ใจตัวเองหรือสนใจซักเท่าไหร่ แต่เธอเริ่มรับรู้เมื่อเธอเริ่มกระโดด เมื่อยิ่งกระโดดบ่อยขึ้นยิ่งรับรู้แง่มุมมากขึ้น ทำให้เธอได้แง่มุมของคนรอบข้างมากขึ้น เหมือนว่ายิ่งกระโดดแต่ตัวยิ่งติดดินขึ้น ยิ่งย้อนอดีตตัวยิ่งอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

ถ้าใครชอบสไตล์หวานๆ ภาพสวยๆ เนื้อเรื่องไม่ลึกแต่ก็ไม่ตื้นมากอันนี้น่าจะเหมาะมาก ดูเพลินๆดีในระดับว่า เผลอๆมีน้ำตาไหลได้ในท้ายเรื่องตามประสาหนังรัก แต่ถ้าเส้นลึกก็อาจจะไม่เหอๆ อันนี้โซน 3 พากย์ไทยเรียบร้อย

RocknRolla


RocknRolla
Action / Comedy / Crime

Director - Guy Ritchie
Gerard Butler - One Two
Tom Wilkinson - Lenny Cole
Thandie Newton - Stella
Mark Strong - Archy

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 3 2009, 10:41 PM

ถ้าไม่นับเรื่องที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่ติด จริงๆเรื่องที่ร่วมงานกับอดีตภรรยาก็ไม่ถึงกับแย่มากทีเดียว เพียงแต่ดูๆไป เจ้มาดอนน่าอาจเล่นดีเกินไปกระมัง เหมือนละครบ้านเราไปนิด ดูแล้วคิดเป็น อั้ม ทำหน้าตาแสยะปากดูถูกคนยังไงยังงั้น / Guy Ritchie มีสไตล์เฉพาะตัวมากๆ จนบางคนบ่นว่าหลายเรื่องคล้ายกันเกินไป แต่มันเป็นสไตล์อ่ะนะ ใจผมคิดเองว่า มันก็เหมือนเราคงบังคับให้ ไอแซนแมน มาทำงานแบบบ้านจัดสรรเมืองไทยไม่ได้ เพราะมันเป็นสไตล์ ไม่ใช่ว่าอันไหนดีหรือไม่ดี ครั้งแรกที่ดู ใจลึกๆยังหวังว่าแก จะกลับมาแจ้งเกิดสดใส เหมือนดั่ง janson button ทำได้ในวงการ f1 (ถ้างวดนี้ไม่เกิด หรือว่าต้องขายบริษัททิ้ง เหมือนฮอนด้าขายทีม f1รึเปล่า ขายเสร็จรุ่งโลด)

เรื่องนี้จะเรียกได้ว่าดูปั๊บ รู้เลยว่าเป็นหนัง Ritchie แถมมีการล้อเลียน (คิดว่านะ) เจ้าของทีมฟุตบอล ให้แฟนๆเสี่ยหมี ได้ขำๆ (นามสกุลนี่ใกล้มากจน อดคิดไม่ได้ว่าตั้งใจแน่นอน) เรื่องนี้เป็นการล้อเลียนถึงอิทธิพลของคนต่างชาติที่เข้ามาหากินในอังกฤษ ช่วงก่อนหน้ารัฐบาลของ กอร์ดอน บราวน์ อังกฤษถือเป็นสวรรค์ของเศรษฐีต่างชาติ อันเนื่องมาจากนโยบายเอื้อประโยชน์ทางภาษี เห็นได้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษโตแบบก้าวกระโดดทีเดียว ทั้งตลาดหุ้นตลาดทุน บริษัทห้างร้านแจกโบนัส กันระเบิดเทิดเทิง (เพราะงั้นพอร่วงจึงลงอย่างรุนแรงด้วย) หรือดูได้จาก วงการฟุตบอล ที่เศรษฐีต่างชาติเดินขบวนเข้ามาจับจองสโมสรฟุตบอลกันเต็มไปหมด (เคยเห็นในรายงานพิเศษของ cnn ช่วงหนึ่ง ถึงกับเคลมว่าลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มีคนระดับ อภิมหาเศรษฐีเดินกันมากที่สุดในโลก ถ้าเทียบกันต่อตารางเมตร)

อีกประเด็นที่ ผู้กำกับนำมาเล่นคือ เรื่องต่อเนื่อง และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ซึ่งมันเติบโตไปพร้อมกับเมืองและเศรษฐกิจแบบฝาแฝดอ แน่นอนว่าที่ใดมีธุรกิจที่นั่นก็มีนักบัญชีผู้แสนฉลาดและขี้โกงเป็นของคู่กันเพื่อมาอำนวยความสะดวก ซึ่งอันว่าความสะดวกก็ต้องมีผู้ดำเนินงาน ซึ่งก็ได้แก่ มาเฟียเจ้าถิ่นและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่พึ่งพากัน มาเป็นของคู่กัน เพราะที่ใดมีธุรกิจที่นั่น เวลาและความสะดวกเป็นสิ่งสำคัญสุด และที่ใดมีมาเฟียที่นั่นก็มี ลูกน้องทั้งปลายแถวและไม่ปลายแถว ทั้งทำแบบมีสังกัดและแบบอิสระ เป็นของคู่กันด้วย และโดยปกติพวกไร้สังกัดนี่แหละตัวป่วน อ้อ....เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนด้วย

หนังเล่นในสไตล์ ผลของการกระทำอันต่อเนื่องที่กระทบกันไปเป็นทอดๆ และชิ่งกันไปมาเหมือนแทงสนุ๊กเกอร์ แคนน่อนไปแคนน่อนมา นั่นหมายถึงไม่ว่าใครก็ตามที่หลุดมาลงโต๊ะ นุ๊ก ตัวนี้ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ ไม่ว่าจะอยากรึไม่ก็ตาม ก็ต้องกระทบกับคนอื่นอยู่ดี / ถ้าเคยผ่านงานสไตล์ Ritchie จะรู้เลยว่า แกชอบเล่นนักพวกประเด็น ผลกระทบเป็นลูกโซ่ และ คนดี(หรือแย่ก็ได้ ส่วนใหญ่จะแย่นะ เหอๆ) มักจะได้ทางแก้ปัญหาที่มาแบบไม่คาดฝัน จากการกระทำของคนอื่น เหมือนๆคนดี(แย่) ผีคุ้มประมาณนั้น จนบางครั้งไม่แน่ใจว่า ผลความชั่วความดี คืออะไร คือเส้นแบ่งมันบางเหลือเกิน

ความชั่ว, ความดี, ชาติ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถวัดได้ ไม่มีมาตรส่วน, ไม่มีตาชั่ง, ไม่ขอบเขตที่แน่นอนตายตัว เราจึงพยายามสร้างปริมณฑลให้สิ่งเหล่านี้ ให้สามารถวัดได้, แทนค่าได้, ตอบแทนได้, ชดใช้ได้ อย่างความดี ความชั่ว แต่คนส่วนใหญ่ แทนค่าด้วยสิ่งที่สามัญกว่า นั่นคือสิ่งของ หรืออะไรก็ได้ที่จับต้องได้ นัยว่าเพื่อทดแทนภาวะเบาปัญญาของเราเอง หรือ เพื่อหลอกตัวเองว่ามันจบแล้ว, มันได้ตอบแทน แต่จริงๆแล้วมันจบหรือไม่หรือมันแค่เป็นการเริ่มต้น คือบางครั้ง ถ้ามองขำๆก็อาจจะรับทราบได้ดีกว่ากระมัง แต่เรื่องนี้ออก ขำแรงทางตรงชนสนั่น

มุมกล้องและการดำเนินสไตล์นี้เริ่มห่างๆไปหลายปีพอกลับมาดูอีกที ก็เลยได้อารมณ์แบบหนังดิบๆ วัยรุ่นๆแต่ผมยอมรับนะว่าถ้าดูบ่อยๆล่ะเบื่อแน่นอน ไม่ใช่ว่าเราจับไต๋อะไรได้หรอก เพราะเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพียงแต่แกน มันเหมือนกันไปหน่อย เลยอาจจะทำให้เบื่อได้ / พูดถึงนักแสดง ก็ใช้ได้นะตามมาตรฐานเหมือนเช่นเคย ผมก็ไม่รู้ว่า มันอาจเป็นเพราะด้วยหนังภาษาอังกฤษเป็นตลาดที่กว้าง บุคคลากรมีให้เลือกมากมายรึเปล่า จึงทำให้ดาราส่วนใหญ่เลยเล่นกันได้ตามมาตรฐาน ดูธรรมชาติ แม้ว่าจะเป็นแค่ดาราตัวประกอบ คือไม่ถึงกับบอกได้เต็มปากว่าแย่มาก (แต่จริงๆดาราบางคนก็เล่นแย่เหมือนกันในบางเรื่อง) / อันนี้เป็นโซน 3 ดูแบบขำๆมันส์ๆ ได้แน่นอน

Changeling


Changeling
Drama / History / Mystery

Director - Clint Eastwood
Angelina Jolie - Christine Collins
John Malkovich - Rev. Gustav A. Briegleb
Colm Feore - Chief James E. Davis
Devon Conti - Arthur Hutchins

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 28 2009, 10:44 PM

"จากเรื่องจริง" พอหนังขึ้นคำนี้ปุ๊บ เส้นแบ่งบางๆขณะดูก็เหมือนจะหายไป ในหนังมีเสียงนกร้อง บ้านเรานกก็ดันร้องเหมือนกัน โจลี่ตื่นมาในห้องมีแดดส่อง เอ๊ะบ้านเราแดดก็ ดันส่องทำมุมเหมือนกัน เพียงแต่แฟนเราหน้าไม่ใช่โจลี่ แล้วเราก็ไม่ใช่ บัก พิตต์ แล้วเรื่องนี้ยังจะเป็นจริงพอไหมสำหรับเรา

หนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุค ชื่อเรื่องแปลว่า "เด็กที่ถูกแอบสับเปลี่ยน" ผลงานระดับอาจารย์ของ ปู่ Clint Eastwood อีกเรื่อง / ตัวเองเป็นแฟนหนัง ป๋า เค้ามาตลอด ตอนแรกดู เพราะชอบเพลงประกอบหนัง แต่เก่าแล้วล่ะของ Ennio Morricone ในหนังลูกทุ่งอเมริกัน ที่คนอิตาลีกำกับ ตามมาเรื่อยๆจนเป็นจ่าแฮร์รี่, เป็นคนแหกคุก, เป็นนายอำเภอจับคนร้ายแหกคุก, เป็นช่างภาพวัยดึกที่สร้างตำนานรักสะท้านบ้านทุ่ง และอีกหลายอย่าง คือจริงๆแกกำกับเก่งนะ หนังแกไม่เน้นโปรดักชั่นมาก พึ่งมาเน้นในหนังสงครามนี่เองหนังแกเน้นความเรียบง่ายและนักแสดงเป็นหลัก อารมณ์บรรเจิดมาก เรื่องนี้ก็คงสไตล์แกไว้เหมือนเดิม

หนังเรื่องนี้เกิดในยุค ทศวรรษ 1920 เป็นเรื่องของคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวลูกหนึ่ง Christine Collins มีอาชีพเป็นโอเปอร์เรเตอร์ อยู่มาวันหนึ่งเธอไปทำงาน หลังจากกลับมาบ้าน พบว่าลูกชายหายตัวไป เธอพยายามตามหาสุดชีวิต ในขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่ง Rev. Gustav A. Briegleb ออกวิทยุโจมตีการ คอร์รัปชั่นในวงการตำรวจของ l.a. อย่างครึกโครม Chief James E. Davis รู้ว่ากรมตำรวจ และ ผู้ว่าการไม่สามารถทนรับแรงเสียดทาน ขนาดนี้ไปได้อีกมากน้อย ฉะนั้นข่าวดีๆจากกรมตำรวจ จักต้องบังเกิดในฉับพลันและจักต้องมีแต่ข่าวดีๆ / ในขณะเดียวกัน คุณแม่ที่กำลังร้อนใจ กลับได้พบกับข่าวดี เมื่อตำรวจมาบอกเธอว่าพบตัวลูกชายของเธอแล้ว และที่สำคัญยังมีชีวิตเสียด้วย แน่นอนเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่โต มีการพานักข่าวไปทำข่าวในวันที่แม่-ลูกจะได้พบหน้ากัน แต่เมื่อแม่พบหน้าลูก เธอบอกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่ลูกเธอ ตำรวจบอกเธอว่า เป็นได้ที่เธอไม่ได้เจอหน้าลูกเป็นเวลานานประกอบกับ ภาวะทางจิตทำให้อาจจำสับสน เธอยอมรับไปก่อนเพราะตำรวจมีท่าทีไม่ยอมรับความคิดนี้ จริงๆเธอกลัวว่าตำรวจจะเลิกหาลูกของ เธอเพราะไปกวนเรื่องนี้เข้า ต่อมาเธอกลับไปบอกตำรวจว่า นี่ไม่ใช่ลูกเธอ พอตำรวจถามว่ารู้ได้ไง

เธอตอบแบบคนเป็นแม่ทั่วๆไปตอบ 1.ลูกฉันสูงกว่านี้ 3 นิ้ว (แม่ที่อยู่ดูแลลูกวัดความสูงลูกตลอด) 2.ลูกฉันไม่ได้ขลิบ (แม่ที่อาบน้ำลูกอยู่ทุกวัน) เรื่องพวกนี้ถือเป็นสามัญธรรมดาสำหรับแม่ทุกคน หรือใครก็ได้ที่เราใกล้ชิดกันมากๆ อย่างแฟนคุณหรือใครก็แล้วแต่ ไฝ, ฝ้า, กระ ยอมจำได้ ฉะนั้นจึงไม่มีใครสลับเอาแม่ช้างน้อยไปจากฉันได้ประมาณนั้น / เรื่องนี้ผมยอมรับว่า คุณแม่ท่านนี้คือผู้หญิงที่แกร่งแต่ไม่หยาบ หลายคนนั้นหยาบแต่ไม่แกร่ง แต่ท่านนี้รับได้กับทุกสภาพ แบบสีทนได้ ดูไปแล้วท่านจะรู้ว่า โหยทำกันขนาดนี้เลยหรือและหลังจากนั้นคือเรื่องราวที่สะเทือนใจ เห็นชัดว่า ความยุติธรรมมาแล้วแต่มุมมองว่าใครเป็นคนมอง การสร้างหลักฐานเท็จของรัฐ ก่อให้เกิดเรื่องราวที่ส่งผลต่อเนื่องและ สุดท้าย พลังของผู้หญิงคนหนึ่ง

โจลี่ เล่นเรื่องนี้ได้สมบูรณ์มากๆ สะเทือนอารมณ์สุดๆ ส่วนตัวแล้วบางครั้งผมไม่ค่อยชอบเธอแสดงนะแต่เรื่องนี้โดดเด่นครับ เล่นได้สมราคาดาราแม่เหล็ก แต่เรื่องพวก เสื้อผ้าหน้าผม นี่ไม่มีความเห็น เพราะคุณเธอและทีมงานละเอียดมากอยู่แล้ว / ป๋าคลิน สุดยอดอีกครั้ง ลึกๆในใจผมอยากเห็นแกเล่นและกำกับอีก แต่ก็เข้าใจว่าสังขารมันไม่เที่ยง จริงๆแกกำกับดีนะครับ ดูจากเบื้องหลังหลายๆเรื่อง และแนวความคิดในการกำกับของแก ง่ายๆแต่ทำยาก อันนี้เป็น blu ray ครับ ขออภัยผมยังไม่มีไดรฟ์ เอาไว้ถอดภาพออกมา อีกอย่างรูปที่มีตามเนตก็ ไม่ใช่รูปที่ชอบนัก เลยขอสงวนสิทธิ์ไม่โพสรูปประกอบ / ยังไม่เห็น เป็นดีวีดี แต่น่าจะมีเร็วๆนี้แน่นอน

หลังจากดูเสร็จ จอดำไป ห้องกลับมามืดอีกครั้ง เผลอหน่อยเล่นเอาเย็นทีเดียว กดเอาแผ่นออก ปิดเครื่อง คำถามเดิม "จากเรื่องจริง" คนเขาว่าเรื่องจริงเป็นดั่งนิยายที่บางเรื่องก็ไม่อยากอ่านไม่อยากเจอ แต่ เรามักต้องเจอ หรือสวรรค์จะบันดาลให้เราได้แฟนหน้าดัง โจลี่ / หลังจากจบแล้วมันจะยังเป็นจริงพอไหมสำหรับเรา

Traitor


Traitor
Crime / Drama / Thriller

Director - Jeffrey Nachmanoff
Don Cheadle - Samir Horn
Guy Pearce - Roy Clayton
Said Taghmaoui - Omar

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 15 2009, 12:31 AM

ช่วงนี้มีโอกาสได้ดูหนังแอคชั่นหลายเรื่อง ทั้ง Taken ซึ่งสนุกแต่ตอนต้นช้าไปนิด แต่พอเริ่มสปีดแล้วแทบไม่ลดความเร็วลงเลย ประมาณว่าพอเลยช่วงการจราจรคับคั่งก็ใส่กันสุดๆ หรือ Bank Job ที่สนุกแบบอ้างอิงจากเรื่องจริง จังหวะก็จะค่อยเนิบๆ ไปเรื่อยๆ จนปมทุกอย่างเริ่มขมวดเข้ามา จุดสนุกสุดยอดจึงมาชนกันตอนท้ายเรื่องหลายประเด็น แต่เรื่องนี้สมดุลของเรื่องอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่สุด คือไม่ช้าหรือทิ้งประเด็นนานจนเริ่มหมดแรงขับดัน คือปล่อยมุขกันเรื่อยๆ ไม่มากหรือน้อยไป / เรื่องนี้เป็นเรื่องการก่อการร้าย(อีกแล้ว) ตอนแรกก็มานั่งนึกดู อึมยังมีอะไรให้สนุกอีกไหมอ่า แล้วอีกประการเรื่องนี้ออกมานานแล้วเหมือนกัน เดินชั่งใจอยู่นาน แต่ได้ดาราที่ชอบเลย อย่าง Don Cheadle มาแสดงก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่ง คือแกรับงานไหนมักจะไม่ค่อยแย่มาก เหอๆ แม้จะไม่ค่อยมีดาราดังๆมากๆมาร่วมงานก็ตาม แต่ ฝีมือแต่ละคนที่มาก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อันนี้มาว่ากันที่ความหมายสักนิด

Function: noun
Etymology: Middle English traytour, from Anglo-French traitre, from Latin traditor,
from tradere to hand over, deliver, betray, from trans-, tra- trans- + dare to give — more at date
Date: 13th century
1 : one who betrays another's trust or is false to an obligation or duty
2 : one who commits treason

ทรยศบางคนก็เรียกว่าจูดาส จากกรณี ว่ากันว่าหักหลักพระเยซู (to hand over, deliver ให้พวกโรมัน) แต่ระยะหลังมีการค้นพบ กอสเพลว่าด้วยเรื่องจูดาส และได้มุมมองที่แตกออกไป นักวิชาการทั้งศาสนาและประวัติศาสตร์จึงเริ่มหันมามอง ประเด็นจูดาสใหม่ ซึ่งรอนานเหมือนกันกว่า แค่คนจะเริ่มหันมาสนใจในประเด็นอื่นไม่ใช่ในแง่การทรยศ อันนี้แสดงอะไร มันแสดงว่าตำแหน่งงานนี้ไม่มีใครอยากได้ และไม่ใช่ตำแหน่งที่มากันสะอาดๆ การใส่ไคล้ และความวิตกกังวลคือต้นเหตุแห่งการ เสนอตำแหน่งงานนี้ให้แก่ใครก็ตาม

หนังเป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดันไปอยู่ในทุกๆที่ที่เกิดเหตุก่อการร้าย หนำซ้ำพอเจ้าหน้าที่ภาคสนามไปสอบสวน ยังเชื่อกันว่าเขาแปรพักต์แล้ว ยิ่งทำให้น้ำหนักที่ว่าหนุ่มคนนี้เกี่ยวข้องก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น ฉะนั้นในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐ หนุ่มคนนี้คือศัตรูของรัฐอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ / ในอีกด้านหนุ่มคนนี้ก็เข้าไปเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อการร้ายย่อย กลุ่มหนึ่งขององค์กรก่อการร้ายขนาดใหญ่ ด้วยการส่งอาวุธและทำระเบิดให้ แต่ก็ให้มีเหตุให้สงสัยกันในหมู่ผู้ก่อการร้ายว่า ไอ้หมอนี่มันจะเป็นหนอน รึปล่าว ฉะนั้นในมุมของผู้ก่อการร้าย หนุ่มคนนี้คือ ศัตรูขององค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ / ในอีกด้านแม่และครอบครัวของหนุ่มคนนี้เป็นมุสลิมที่เคร่งครัด ทุกคนล้วนเชื่อกันว่า เค้าไม่มีทางเป็นผู้ก่อการร้ายไปได้ เพราะมันขัดกับหลักศาสนา ฉะนั้นในมุมของมุสลิมที่ดี หนุ่มคนนี้คือศัตรูของศาสนา ผู้ทำให้ศาสนามัวหมองอย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งในผู้ทรยศ

แน่นอนว่า ผู้ทรยศจะมาพร้อมบทลงโทษที่หนักเบาต่างกันไปตามสถานะการ และต้องมาพร้อมบทพิสูจน์ตัวเอง ดั่งนางสีดาที่ต้องเดินลุยไฟ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พระรามเห็นหนุ่มคนนี้ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน / มีประโยคหนึ่งที่ ตัวเอกคุยกันเรื่อง การเป็นผู้ทรยศ ว่าใครกันแน่ที่ทรยศและมองจากมุมใด นั่นอาจเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งเช่นกัน และโจทย์แห่งการพิสูจน์ตนมาจากทุกด้าน

ด้วยตัวหนังเอง พูดถึงโปรดักชั่น อาจไม่ได้หวือหวาเข้าขั้นเทพ เหมือนหลายๆเรื่อง แต่ พูดถึงการแสดงและการส่งของบท ของผู้แสดงแต่ละตัว ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว / Guy Pearce เรื่องนี้ถือว่าฟอร์มตกไปเล็กน้อย เทียบกับ Said Taghmaoui ที่ถือว่าเล่นดีกว่า ทั้งแววตาหรือท่าทาง ครบเครื่องมากกว่า และทำให้เชื่อได้มากกว่าว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายผู้เคร่งศาสนาแต่ในขณะเดียวกันก็ซื่อสัตย์ต่อองค์กรและเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง / Don Cheadle นั้นคงมาตรฐานได้ดีคงเส้นคงวา โดยครั้งแรก แกดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าดูไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า อึม ต้องแกนี่แหละ / เนื้อหาจัดในขั้นซับซ้อนและพลิกไปพลิกมาพอควร เสียดายที่จุดขมวดมาเร็วไปนิด แต่ไม่ได้ลดดีกรีลงมากนัก อันนี้เป็นโซน 3 ดูได้เพลินๆ และมันส์พอตัว

The Curious Case of Benjamin Button


The Curious Case of Benjamin Button
Drama / Fantasy / Mystery / Romance

Director - David Fincher
Brad Pitt - Benjamin Button
Cate Blanchett - Daisy
Taraji P. Henson - Queenie

ต้นฉบับเขียนเมื่อ May 23 2009, 06:58 PM

ดัดแปลงจากเรื่องสั้น นักเขียนชื่อดัง F.Scott Fitzgerald ที่พิมพ์มาตั้งแต่ปี 1922 ประวัติโปรเจคหนังเรื่องนี้มีความสนุกไม่แพ้ตัวหนังเองเลย
1987 - Universal เซ็นต์สัญญากับ Frank Oz ให้ทำหนังเรื่องนี้
1990 - Steven Spielberg สนใจกำกับ
- Tom Cruise ถูกเจรจาให้มานำแสดง
1991 - Steven Spielberg ไปกำกับ Hook กับ Jurassic Park แทน
- Kennedy/Marshall เอาโปรเจคนี้ไปเสนอ Paramount แทน
1994 - เซ็นต์สัญญาร่วมระหว่าง Universal กับ Paramount
1998 - Ron Howard เซ็นต์สัญญาจะมากำกับ
2000 - Spike Jonze ถูกจ้างมากำกับ
2001 - Spike Jonze ถอนตัว
- Eric Roth มือเขียนบท Forrest Gump ถูกจ้างมาแก้ไขปรับปรุงบท

ฉากหนังถูกเปลี่ยนจาก Baltimore มาเป็น New Orleans ก่อน พายุKatrina ถล่ม เหตุจากค่าใช้จ่าย แต่หลังจากเกิดพายุ ทีมงานยังอยากทำที่นี่ต่อและสภาเมืองเห็นดีด้วย จะเห็นว่าที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้เยอะมาก ยังไม่นับเทคนิคหลายอย่าง ที่ไม่สามารถทำได้แต่ก่อน แต่ ณ ตอนนี้ทำได้ (อย่างพวกฉากหน้าเด็กของทั้ง Brad กับ Cate ที่เด็กมากกกก) อีกอย่างหนึ่ง Brad Pitt ได้รางวัล The 2009 TIME 100: The World's Most Influential People จาก TIME ส่วนหนึ่งก็มาจากการหนังเรื่องนี้ที่ร่วมสนับสนุนเมืองด้วย

ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับสุดโปรด David Fincher หากใครสังเกต พัฒนาการมาเรื่อยๆจะเห็นอย่างหนึ่งว่าแกชอบ มุมมองหนังหรือมุมกล้องหรือเทคนิค ที่แปลก ไม่ว่าจะเรื่องจริง (Zodiac [2007] - ฆาตกรต่อเนื่องคนดัง ที่ยังจับไม่ได้) หรือเรื่องแต่ง (Se7en[1995] บาปร้าย7ประการ) (The Game[1997] เกมส์ที่ออกแบบมาเฉพาะคนสำหรับเศรษฐีขี้เบื่อ) (Fight Club[1999] ทางแพร่งทางจิตของคนในยุคแสวงหาแบบใหม่) มีเรื่องเดียวที่แป็ก คือ (Panic Room[2002] คุกสำหรับคนเมือง) เผอิญว่าไม่ได้ดู alien III (เป็นเรื่องแรกที่แกกำกับหลังจากดังจากกำกับมิวสิควีดีโอให้มาดอนน่า) เลยไม่มีไอเดีย เหอๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการชีวิตและประสบการณ์ของชายคนหนึ่งจาก (เกิดมา)แก่จน (ตายตอน)เด็ก, ชายที่เกิดขึ้นมาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา เมื่อปีที่สิ้นสุดมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ชายที่ในขณะที่คนอื่นจะแก่ลงไปเรื่อยๆเขากลับจะเด็กลงเรื่อยๆแบบโดดเดี่ยว /ตอนต้นเรื่องฉากเปิดตัวที่เอากระดุม มาเรียงกันเป็นรูปดูน่าสนใจดีทีเดียว กับต่อมาที่นำการเปรียบเทียบกับนาฬิกาที่เดินย้อนเวลาที่ติดในสถานีรถไฟ มาล้อกับเหตุการณ์ในหนัง ก็นำเสนอได้น่าสนใจ / หากตอนเริ่มท่านชอบแล้ว แม้ลึกๆ ท่านน่าจะเดาหรือเห็นภาพตอนจบได้ แต่ก็ยังเป็นอะไรที่คุ้มค่า การรอดู และติดตามชมเป็นอย่างยิ่ง

โดยตัวหนังแล้ว ดูสนุกมาก อันนี้ยอมรับเลย ภาพและมุมกล้องสวยสมวัยผู้กำกับ รายละเอียดและความน่าดูจริงๆ คือ เรื่องที่ค่อยๆเล่าภาพชีวิตของ Benjamin Button ไปเรื่อยๆแทรก เป็นระยะด้วยมุมมองและภาพแบบแปลกๆ สไตล์ท่านผู้กำกับ มีฉากหนึ่งผมค่อนข้างชอบ เป็นเรื่องการเล่นกับคำถาม ว่า "ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้มันควรจะเป็นอย่างนั้น" น่าสนใจในแง่มาถูกจังหวะและเวลา ใจผมว่าเหมือนหลายๆคนคิดเวลาที่เกิดเรื่องร้ายๆนะ / อันนี้เป็น blu ray แบบเวอร์ชั่นพิเศษ 2 แผ่น (ตัวหนังยาวพอตัว 2 ชม.กว่าๆ) ใครๆหลายคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยทราบอยู่แล้วว่า เรื่องคร่าวๆเป็นยังไง เพราะหนังตัวอย่าง ก็ไม่มีเจตนาจะปิดเลย แต่ประเด็นที่น่าสนใจอย่างที่เกริ่นไปแล้ว คือการดำเนินเรื่อง, รายละเอียดหนัง และความสมจริง (เทคนิคค่อนข้างดี) กับการเล่นที่ความเชื่อ-แรงปราถนาที่กลับด้านของคนเดินดินอย่างเราๆท่าน มาแต่โบราณ.....สุดท้ายเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนธรรมดาที่เกิดมาไม่ธรรมดาคนหนึ่ง.......น่าดูอย่างยิ่งครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Choke


Choke
Comedy / Drama
from the auther of Fight Club - Chuck Palahniuk
Director : Clark Gregg
Anjelica Huston ... Ida J. Mancini
Sam Rockwell ... Victor Mancini

ต้นฉบับเขียนเมื่อ Apr 7 2009, 11:58 PM

บางทีการที่เราชอบงานของใครมากๆสักงานอาจทำให้เราคาดหวังเอากับงานของเขาเหล่านั้นทุกๆชิ้นมากจนเกินงาม ที่ว่ามาก็ไม่ได้หมายความว่างานนี้จะไม่ดี เพียงแค่คาดหวังมากกว่านี้หน่อย ถ้าใครดู Fight Club คงเห็นด้วยว่า Chuck Palahniuk ผู้เขียนเรื่องนี้ เล่นกับคำว่า"ถ้า" แบบแทบในทุกบริบทสังคม "ถ้าลองเป็นอย่างงี้ดู" "ถ้านอนไม่ค่อยหลับ" "ถ้าตื่นขึ้นมาต่างสถานที่จะกลายเป็นอีกคนได้หรือเปล่า" แต่ส่วนหนึ่งต้องยกผลประโยชน์ให้ผู้กำกับด้วยเพราะ นำตัวหนังสือมาสร้างเป็นภาพได้ตื่นตาตื่นใจ

เรื่องนี้พอดูเบื้องหลัง (คือโดยปกติถ้าไม่รีบมากผมชอบนั่งดู การคุยกับผู้กำกับหรือนักเขียนมันก็ได้มุมมองของหนังสนุกขึ้น เหมือนล่าสุดก็พึ่งดู Slumdog Millionaire พอดู การคุยกันเรื่องเบื้องหลังแง่มุมการกำกับของ Danny Boyle ว่าทำไงถึงกำกับ ดาราเด็กไม่ให้เล่นแข็งเป็นสากเหมือนบ้านเราได้ ก็เห็นเลยว่าต้องทุมเทเพียงใด) ผู้กำกับพูดคุยกับนักเขียนและงานเปิดตัวของหนัง โดยมี Palahniuk มาพูด ก็เล่นกับคำว่า "ถ้า" ในมุมมองใหม่ๆอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถ้าบางคนดู Fight Club มา มากรอบเหมือนที่เพลง limp bizkit ร้องเอาไว้ (ถ้าจำไม่ผิด 26 หรือ 28 รอบนี่แหละ รึเปล่า หว่า) อาจจะรู้สึกไม่ระทึกมาก เพราะบอกตามตรงว่าบางช๊อต ผมนึกถึง Fight Club แบบอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเหมือนนะ แค่รู้สึก

ในรายการสารคดีทางช่อง ดิสคัพเวอรี่ เรื่อง ฆาตกรโรคจิต มีตอนหนึ่งเป็นคนเยอรมัน ที่แสวงหาความสุขและกำลังใจ ด้วยการชักชวนหนุ่มนิรนามมาที่บ้าน ซึ่งเค้าไม่ได้ตั้งใจจะประทุษร้ายทางเพศอะไรประมาณนั้น แต่เขาต้องการให้ หนุ่มคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งหรืออยู่กับเขาตลอดกาล นี่คือคำตอบที่เขาบอกจิตแพทย์ หลังจากถูกจับในฐานฆาตกรรมแล้วตัดศพเป็นชิ้นๆไว้กิน ซึ่งเขากินทุกอย่างของร่างกายเหยื่อ ตั้งแต่หัวยันอวัยวะเพศ / แต่หนังเรื่องนี้พูดถึงการหาความสุขและกำลังใจจากเรื่องเพศและปาก เนื่องจาก ตัวเอกเป็นโรคเสพติดทางเพศ (เพศและความตาย ประเด็นอมตะตลอดกาลในการขับดันพฤติกรรมคน) ในขณะเดียวกัน ตัวเอกยังมีแม่ที่เป็นโรคจิตหลอนใกล้ตาย อีกคน และอีกครั้ง เพศและความตาย เกี่ยวพันและสร้างตัวละครต่อไปและส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อ

พูดในแง่ตลก มีเยอะมาก เพราะเล่นในเรื่องเพศทำให้มีประเด็นใส่ได้เยอะ (ตั้งแต่ตัวเอกที่เล่นมีเพศสัมพันธ์กับเค้าไปทั่วไม่เว้นแก่หรือสาว) อีกทั้งสไตล์ Chuck Palahniuk ก็น่าจะเดากันได้เลย ตลกร้ายแบบหม่นๆ ความสดใสจะมาท้ายเรื่อง เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย จริงๆแววเริ่มออกตั้งแต่ ก่อนท้ายเรื่องเร็วเหมือนกัน ทำให้กินใจแบบดิบๆ คือ บางคนอาจชอบกินใจแบบนุ่มๆบางคนก็อาจชอบแบบ rare หรือ medium rare หรือ well done ไปเลยสุกจนหายนุ่มประมาณนั้น (แต่รับประทานง่ายไม่เสียว) เรื่องนี้ผมว่าเป็น
ความสุ(ก)ขในระดับ medium rare ฉ่ำเลือดหวานพอนุ่มแต่ ไม่สุ(ก)ข มากจนแข็ง แล้วก็ไม่ดิบจนมีแต่รสเลือดในปาก แต่โอเคเหมือนที่ผมเกริ่นตอนแรก บางทีผมอาจคาดหวังมันมากเกินไป เพราะการเอาหนังสือมาทำหนังไม่ใช่เรื่องง่าย ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้กำกับแต่ละคน (ในเรื่องนี้ผู้กำกับว่ามีการคุยกับนักเขียนเยอะ แต่ผู้เขียนก็มีท้วงติงบ้าง) อีกอย่าง ผมยังไม่มีโอกาสอ่าน จึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก.....ผมเริ่มต้นว่ามันเป็นเนื้อนั้นดี เครื่องปรุงใช้ได้ แต่ผลกลับไม่ออกมาสุดๆก็ไม่ถึงกับเลวร้าย รสชาดยังครบ ก็โอเคนะเพียงแต่........อันนี้คงแล้วแต่คนดู

เรื่องนี้ได้นักแสดง เก่งคือ Sam Rockwell มาเล่น คือถ้าใครเคยดูแกเล่น ก็จะจำได้ว่า แกเน้นตลกแบบมีแง่มุม อย่างเรื่อง green mile หรือ อีกเรื่องผมจำไม่ได้แน่ๆ แต่ชื่อยาวๆหน่อยก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ในเรื่องนี้ คนคัดตัวแสดงเค้าว่าอยากได้พวก ตลกหน้าตายในบทหนักๆซึ่งRockwell ตอบโจทย์นี้ได้ดีระดับหนึ่ง จริงๆก็ยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าเป็นใครจะเหมาะกว่า / หรือ ดาราประกอบที่เล่นเป็นเพื่อน หรือบทที่ ผู้กำกับมาเล่นเอง หรือ บทนางเอก ที่ผมบอกได้เลยว่า โห้ว่ะ เล่นมุกเดียวกับหนังไทยเลย เหอๆ ก็เล่นกันได้ดี / มีมุขเล็กๆแทรกตลอด คล้ายๆ Fight Club ที่มี มุขการบูชายันต์มนุษย์เข้ามาเป็นส่วนเสริม เรื่องนี้ก็มีเช่นกันแต่เหตุเกิดในร้านอาหารแทน เข้าใจคิดเหมือนเคย และที่เหมือนกันคือ มุขไม่ได้เข้ามาและออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ต่อเนื่องและส่งผลกลับด้วย

เรื่องนี้เป็นโซน 3 บรรยายไทยเรียบร้อย ราคาย่อมเยาว์ และของแท้ น่าดูในจังหวะที่ หนังตลาดๆยังไม่ค่อยเข้ามาก